วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการดื่มน้ำที่ถูกวิธี




         การดื่มน้ำนั้นความจริงแล้วมีวิธีการดื่มให้ถูกหลักด้วย การดื่มน้ำให้ถูกหลักก็เพื่อให้ร่างกายสามารถนำน้ำที่ดื่มเข้าไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด โดยน้ำที่ดื่มควรจะเป็นน้ำเปล่าธรรมดา ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป ถ้าหากเป็นน้ำอุ่นและดื่มในตอนเช้าจะทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เพราะทำให้ลำไส้ของเราสะอาดนั่นเอง

 แล้วเราควรจะดื่มน้ำเวลาไหนกันบ้าง ?

  • ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
  • ตอนสาย 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น.) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไปแล้วระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อชำระของเสียเหล่านั้นออกไป
  • ตอนบ่าย 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 14.00 น.)
  • ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 19.00 – 20.00 น.) 
  • ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น 

 ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่ก็มีข้อที่ไม่ควรปฏิบัติในการดื่มน้ำเหมือนกันนะ
  • ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ 2-3 แก้วติดต่อกันทันที ให้ดื่มตามปกติ ถ้าดื่มเข้าไปรวดเดียว ร่างกายก็จะขับออกมาทางปัสสาวะในทันที แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการจิบน้ำไปเรื่อยๆ ร่างกายจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆได้ดีกว่า 
  • เมื่อดื่มน้ำไปสักครู่หนึ่ง จะปัสสาวะบ่อย ในครั้งแรกๆจะมีสีเหลืองขุ่นๆ เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปนั้นจะเข้าไปชำระล้างไตให้สะอาด (ไตเปรียบเหมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย)
  • ไม่ควรดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไป ทั้งก่อนที่จะรับประทานอาหารและหลังรับประทานอาหาร
  • ควรเลิกนิสัยที่รับประทานอาหารพร้อมกับการดื่มน้ำ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การย่อยไม่ดี
  • ไม่ควรรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจนอิ่มแน่นท้องเกินไป ควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดตาม จะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยก็จะรู้สึกสบายท้อง แล้วหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงค่อยดื่มน้ำตามปกติ


         ในช่วงแรกของการเริ่มต้นดื่มน้ำให้ถูกวิธี ร่างกายเราอาจจะยังไม่ชินบ้าง แต่ถ้าหากเราสามารถดื่มน้ำให้ถูกหลักเช่นนี้เป็นประจำแล้ว จะทำให้มีสุขภาพอนามัยดี ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่เพราะร่างกายเรามีสมดุลที่ดีนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : teenee.com, thiensurat.com

คลายร้อนด้วยเมนู "ไอศครีมมะม่วง"


  ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ถ้าได้ทานไอศครีมคงอาจะช่วยให้คุณเย็นลงได้นะคะ ยิ่งถ้าเป็นไอศครีมเพื่อสุขภาพอย่างมะม่วงด้วยแล้ว เจนัวร์ ว่ายิ่งถือว่าเป็นเมนูอาหารรับหน้าร้อนสุดเริ่ดได้ดีทีเดียวเชียวค่ะ


     เพราะมะม่วงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอย่าง มะม่วง เพราะในมะม่วงมีเกลือแร่ และวิตามินต่างๆ ชาวอินเดีย เชื่อว่าการรับประทานมะม่วงจะช่วยในการขับถ่าย ช่วยขับปัสสาวะ (ซึ่งหมายถึงการช่วยขับพิษได้ด้วย) ช่วยกระตุ้นกำหนัด ช่วยทำให้สดชื่น เช่นเดียวกับชาวเซเนกัล เชื่อว่าการรับประทานมะม่วงจะทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวา และชาวปานามารับประทานมะม่วงสุกเพื่อเป็นยาช่วยระบาย ดังนั้น การทานมะม่วง นอกจากจะให้ประโยชน์แล้ว ยังเป็นผลไม้ที่คนไทยนั้นหารับประทานได้ง่าย ตามฤดูกาลค่ะ

อุปกรณ์การทำไอศครีมมะม่วง  


1. มะม่วง
2. หัวกะทิ
3.นมข้นไขมันต่ำ

 วิธีการทำเมนูไอศครีมมะม่วง




  •  เตรียมมะม่วงโดยการหันมะม่วงเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสามารถที่จะเอาลงไปปั่นในเครื่องได้
  •  นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปในเครื่องปั่น โดยใส่มะม่วง หัวกะทิ และนมข้นหวาน พร้อมกัน
  •  ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน คนเป็นเนื้อเนียนๆ มีความข้น เล็กน้อย
  •  แล้วจึงนำมะม่วงที่ปั่นเสร็จแล้ว ใส่ลงไปในแม่พิมพ์ แล้วจึงเอาเข้าตู้เย็น รอให้ไอศครีมแข็งตัว จึงนำออกมารับประทานได้


"ไอศครีมมะม่วง"


เรียบเรียงข้อมูลโดย : เจนัวร์ มัวชิม
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูล : 108health.com

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"โมโรเฮยะ" ราชาแห่งวิตามิน


  อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์ ในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิดให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารจาก "ผัก" จึงมีประโยชน์และให้คุณค่ากับร่างกายมากมาย รวมถึงวิตามินต่างๆ ในผักนั้นยังช่วยป้องกันโรค ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส อีกทั้งยังมีคุณค่าทางยาแฝงด้วย

            นอกจากวิตามินแล้วสิ่งสําคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "ใยอาหาร" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน แต่เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการมาก ใยอาหารจะช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกขึ้น ในปัจจุบันวิถีการกินผักเพื่อสุขภาพ หรือการกินผักปลอดสารพิษ กําลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งนายสัตวแพทย์สิทธิศักดิ์ เหมืองสิน ผู้จัดการบริษัท ภูเก็ต เป๋าฮื้อ ฟาร์ม และภัตตาคารเปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้นําผักชนิดหนึ่งเข้ามาทําการทดลองปลูก ซึ่งเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวิตามิน ผักที่ว่าคือ "โมโรเฮยะ" (Moroheiya)

โมโรเฮยะ ผักที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวิตามิน มีลักษณะคล้ายกับใบกระเพราะสมุนไพรของบ้านเรา

            โมโรเฮยะ (Moroheiya) มีสารอาหารประเภทเบต้าแคโรทีน มากกว่าผักโขมถึง 3 เท่า ขณะที่มีวิตามินเอ บี 1 บี 2 และวิตามินซี มากกว่าแครอท บร็อคโคลี่และผักโขมรวมกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารประเภทโปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำในปริมาณสูงมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าราชาแห่งวิตามิน โมโรเฮยะมีต้นกําเนิดมาจากประเทศอียิปต์ แต่เป็นที่นิยมบริโภคของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เพราะวิตามินและแร่ธาตุในผักโมโรเฮยะจะช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทํางานได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคและกําจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วย นอกจากนี้เส้นใยอาหารของโมโรเฮยะยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความอ้วน ลดเบาหวาน และป้องกันมะเร็งลําไส้ใหญ่

            ต้นโมโรเฮยะนี้มีลักษณะคล้ายกับต้นกระเพรา แต่ส่วนโคนของใบจะมีแฉกขนาดเล็กๆ แยกออกมา 2 ข้างคล้ายกับหางของแมลง สามารถปลูกได้ดีในอากาศร้อน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่อายุประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มมีฝักซึ่งเมื่อแก่จัดอายุประมาณ 6 เดือน จะสามารถเก็บมาใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไปได้ นอกจากโมโรเฮยะแล้วผักพื้นบ้านของไทย เช่น กระถิน กระเทียม มันเทศ ฟักทอง แครอท ผักใบเขียว พริก มะเขือเทศ และ หัวหอม ฯลฯ ก็มีวิตามินและแร่ธาตุ ไม่น้อยไปกว่าโมโรเฮยะ และยังมีคุณค่าทางยาสมุนไพรแฝงอยู่ด้วย

            จากคุณค่าและวิตามิน ในผักโมโรเฮยะที่กล่าวมาข้างต้นทําให้ในปัจจุบันมีการนําผักโมโรเฮยะ มาผลิตหรือใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโมโรเฮยะผสมไชวีส ผงโมโรเฮยะสําหรับทําอาหารและเบเกอรี่ ชาโมโรเฮยะ บะหมี่อบแห้งโมโรเฮยะ คุ๊กกี้โมโรเฮยะ และบิสกิตโมโรเฮยะ วิตามินในโมโรเฮยะหรือผักต่างๆ ถือเป็นสารอินทรีย์ที่สําคัญต่อชีวิต (Vita for life) แม้ว่าร่างกายจะต้องการวิตามินในปริมาณน้อย แต่ก็มีความจําเป็นต่อการทํางานของระบบประสาท และอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายนับ ตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนําโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ และผลิตพลังงานสําหรับดํารงชีวิต วิตามินจึงเป็นตัวจักรเล็กๆ แต่มีความสําคัญยิ่ง ซึ่งร่างกายจะขาดเสียมิได้ และนอกจากความสําคัญของใยอาหารที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสามารถช่วยรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรงและช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกแล้วนั้น ใยอาหาร (fiber) ยังมีคุณประโยชน์กับร่างกายด้านอื่นๆ คุณประโยชน์ของการบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูง ได้แก่


            1. ใยอาหารกับโรคท้องผูก การบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูงจะช่วยลดปัญหาอาการท้องผูก เพราะใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยเพิ่มน้ำหนัก ปริมาณกากอาหารทําให้กากอาหารนุ่มและช่วยลดเวลาที่กากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลําไส้ใหญ่ ส่วนใยอาหารที่ละลายน้ำพวกเฮมิเซลลูโลสจะช่วยดูดซับน้ำในทางเดินอาหารทําให้กากอาหารนุ่มและช่วยลดเวลาที่กากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลําไส้ใหญ่เช่นเดียวกัน

            2. ใยอาหารกับโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลําไส้ใหญ่โดยเฉพาะใยอาหารที่ ไม่ละลายน้ำเช่น รําข้าวสาลี เซลลูโลส

            3. ใยอาหารกับโรคอ้วน การบริโภคอาหาร ที่มีใยอาหารมากจะให้พลังงานน้อย อาหารที่มีใยอาหารต่ำโดยเฉพาะน้ำตาล มีผลต่อการกระตุ้นศูนย์ควบคุมการอิ่มได้น้อยมาก เนื่องจากบริโภคง่ายและรวดเร็วทําให้บริโภคได้มาก ใยอาหารช่วยในการลดน้ำหนักได้เนื่องจากใยอาหารที่ละลายน้ำจะกลายเป็นเจ ลเพิ่มความหนืดและการเกาะตัวของสารในกระเพาะอาหารทําให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และอิ่มนานทําให้กระเพาะอาหารว่างช้าลง

            4. ใยอาหารกับโรคไตเรื้อรัง ใยอาหารที่เป็นเฮมิเซลลูโลส สามารถลดระดับสารยูเรีย และสารครีเอตินิน (Creatinine) ในเลือดของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ร้อยละ 11-19 และสามารถเพิ่มการขับถ่ายสารไนโตรเจนออกทางอุจจาระได้ร้อยละ 39 ช่วยลดการสังเคราะห์แอมโมเนียได้ถึงร้อยละ 30 และจะช่วยลดอาการยูรีเมีย (uremia) ซึ่งเป็นอาการของโรคไตวาย มีของเสียคั่งในเลือดจนเป็นพิษ จากของเสียนั้น ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ นอกจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การบริโภคผักซึ่งมีใยอาหารสูงยังสามารถช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการย่อยและดูดซึมแลคโตสได้ดีขึ้น

            นอกเหนือจากวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารแล้ว ในผักยังมีสารสุขภาพอื่นที่ให้คุณค่าแก่ร่างกาย เช่น น้ำมันระเหยแอนติไบโอติกธรรมชาติ ฮอร์โมน ธาตุสี (pigment) จําพวกคลอโรฟิลล์ ไบโอฟลา-วินอยด์ (bio-flavinoids) โดยคลอโรฟีลเพ็กติน (pectin) และแอนโตไซอันส์ (anthocyans) ช่วยป้องกันร่างกายจากรังสีและสิ่งปนเปื้อนที่มากับอากาศ และชะลอความแก่ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก My firstbra


ผักสวนครัวของบ้านเราก็ยังเป็นแหล่งวิตามินที่ดี หาง่าย และยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย


            เชื่อกันว่าสารเหล่านี้เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะทําให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีขึ้น ผักโมโรเฮยะเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเบต้าแคโรทีน และเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในเรื่องการป้องกันมะเร็งและโรคในผู้สูงอายุได้ดี ทั้งยังมีแคลเซียมมากไม่แพ้ผักชนิดอื่นและอุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ ดังนั้น ผักโมโรเฮยะถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้บริโภคควรปรับเปลี่ยนวิถีการบริโภค โดยหันมาบริโภคผักเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น และควรรับประทานผักให้หลากหลายชนิดเป็นประจํา เพื่อสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป และสอดคล้องกับหลักการที่นักวิชาการสมัยใหม่เรียกว่า "balanced diet"


ขอขอบคุณ วิชาการ.คอม

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรู้ Blu-ray,HD(High-Definition) ค่า rate bit และอื่นๆ

 bit rate คืออะไรครับ
จำนวน bit ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลต่อหนึ่งหน่วยเวลา

ถ้าbit rateมาก จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นใช่ไหมและไฟล์จะดีกว่าbitrateน้อยใช่ไหมครับ
ถูกและไม่ถูกครับ ขึ้นอยู่กับ format ที่คุณใช้งานด้วย

อนึงการดูว่าไฟล์ของเราที่โหลดไปจะมีความคมชัดเท่าใดมากแค่ไหนต้องดู Bit Rate Video เป็นอันดับแรกนะครับ

วีดีโอบิทเรทต่างๆนะครับ

1.) 128 – 384 kbit/s   – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท
2.) 1.25 Mbit/s          – คุณภาพระดับ VCD
3.) 5 Mbit/s              – คุณภาพระดับ DVD
4.) 15 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HDTV
5.) 36 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HD DVD
6.) 54 Mbit/s            – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc
บิดยิ่งมากยิ่งคมชัดมากๆนะครับ

เช่นเรื่องนี้นะครับ

Video
ID                                  : 1
Format                           : AVC
Format/Info                      : Advanced Video Codec
Format profile                   : High@L4.1
Format settings ,  CABAC           : Yes
Format settings ,  ReFrames        : 5 frames
Muxing mode                      : Container profile=Unknown@4.1
Codec ID                         : V_MPEG4/ISO/AVC
Duration                         : 1h 53mn
Bit rate                           : 10.4 Mbps
Nominal bit rate               : 10.9 Mbps
Width                              : 1 920 pixels
Height                             : 800 pixels
Display aspect ratio           : 2.400
Frame rate                       : 23.976 fps
Resolution                       : 24 bits
Colorimetry                     : 4:2:0
Scan type                        : Progressive
Bits/(Pixel*Frame)            : 0.282

ส่วนFps จะสำหรับระบุเฟรมที่ออกมาในแต่ละนาที่
ปกติก็ไม่ควรต่ำกว่า 20 เพราะจะทำให้ภาพสั่นปวดตาได้ และหนังทัวไปอยู่ที่30/วิก็ดีมากแล้ว

เสียงครับ(Sound DTS-HD Master)
ระบบเสียงแบบใหม่กับแผ่น Blu-ray Disc


หลายๆท่านอาจจะทราบว่าในปัจจุบันนี้ระบบ High definition กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าระบบนี้มีเฉพาะที่เป็นสัญญาณภาพความละเอียดสูงเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีระบบเสียงที่เป็นแบบ High definition ด้วย!

ระบบเสียงแบบ High Definition นี้จะมาพร้อมกับแผ่น Blu-ray Disc เนื่องจากระบบใหม่นี้ไฟล์จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมาก Blu-ray Disc จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับระบบเสียงนี้
Dolby & DTS กับยุคของ High definition

เมื่อพูดถึงระบบเสียงแบบใหม่นี้ แน่นอนว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านการพัฒนาระบบเสียงรอบทิศทางจนเป็นที่ยอมรับกันโดยกว้างขวาง ต่างก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาร่วมในการเปิดตลาดของระบบเสียงแบบ High definition นี้ด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ “Dolby” และ “DTS”


ระบบเสียง High definition จาก Dolby

ค่าย Dolby ได้พัฒนาระบบเสียงขึ้นมาใหม่ 2 ระบบเพื่อรองรับการเข้าสู่โลกของ High definition นั่นคือ “Dolby Digital Plus” และ “Dolby TrueHD”

แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึง Dolby TrueHD เพียงอย่างเดียว เพราะระบบนี้จะเป็นระบบเสียงหลักระบบหนึ่งในแผ่น Blu-ray disc

Dolby TrueHD เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลเลย นั่นหมายความว่าสัญญาณเสียงที่เรา ได้ยินจากระบบ Dolby TrueHD นั้นจะมีความเที่ยงตรงเหมือนกับที่บันทึก มาจากสตูดิโอเลยทีเดียว และยังสามารถ รองรับช่องสัญญาณเสียงได้สูงสุดถึง 8 channel โดยเมื่อเทียบกับระบบ เสียง Dolby Digital แบบเก่า Dolby TrueHD จะให้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นถึง 28* เท่าเลยทีเดียว

* วัดจาก Bit-rate โดย Dolby Digital จะให้ Bit-rate = 0.64 Mbps ขณะนี้ Dolby TrueHD ให้ Bit-rate = 18 Mbps)

ระบบเสียง High definition จาก DTS

เช่นเดียวกับ Dolby, ค่าย DTSได้พัฒนาะระบบเสียงแบบ High definition ขึ้นมา 2 รูปแบบเหมือนกัน นั่นคือ “DTS-HD High Resolution Audio” และ “DTS-HD Master Audio” ในที่นี้จะขอกล่าวถึง DTS-HD Master Audio เท่านั้น

DTS-HD Master Audio เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลคล้ายกับ Dolby TrueHD และรองรับช่องสัญญาณได้ถึง 8 channel เหมือนกัน แต่สิ่งที่ DTS-HD Master Audio มีเหนือกว่าก็คือ คุณภาพเสียงซึ่งสามารถให้ได้มากถึง 28 Mpbs

 แต่ในด้านความนิยมหรือความหลากหลายของแผ่นซอฟแวร์ให้ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทางบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ จะให้ความสำคัญกับ Dolby TrueHD มากกว่า ทำให้แผ่น Blu-ray disc ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมี Dolby TrueHD มาด้วย ในขณะนี้แผ่น Blu-ray Disc ที่มีระบบเสียง DTS-HD Master Audio ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย


เช่น
Audio

ID                                  : 2
Format                            : DTS
Format/Info                     : Digital Theater Systems
Codec ID                         : A_DTS
Duration                          : 1h 53mn
Bit rate mode                   : Constant
Bit rate                            : 1 536 Kbps
Channel(s)                        : 6 channels
Channel positions               : Front: L C R ,  Surround: L R ,  LFE
Sampling rate                    : 48.0 KHz
Resolution                        : 24 bits
Title                                : English DTS 1509kbps
Language                         : English
เป็นคุณภาพแบบ DVD ครับ

                         ตารางเทียบอัตราBitrate เสียงขนาดต่างๆนะครับ/size]

ตารางเสียงบิทเรตต่างๆ
แบบที่บีบอีดข้อมูล และสูญเสียคุณภาพของสัญญาณแล้วมี 4 ตัวด้วยกันคือ

1.) Dolby Digital                    -0.64 Mbps (664Kbps) แบบที่ท่าน Princo13 ชี้แจงครับ คุณภาพระดับ DVD
2.) DTS                              -1.5 Mbps    (1530Kbps) คุณภาพระดับ DVD
3.) Dolby Digital Plus             -1.7 Mbps    (1760Kbps) คุณถาพระดับ HDTV ตามช่องรายการ TV (เฉพาะต่างประเทศนะครับ)เช่น Japan
4.) DTS-HD HighResolution     -6.0 Mbps    (6000Kbps) คุณภาพระดับ HDTV 5.1


แบบบีบอีดข้อมูล แต่ไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 2 ตัวด้วยกันคือ

5.)Dolby(TRUE HD)               -18.0 Mbps (18000Kbps) คุณภาพระดับ HD-DVD
6.)DTS-HD MasterAudio(DTS-HDMA) -24.5 Mbps (24500Kbps) คุณภาพระดับ BLURAY


แบบไม่บีบอีดข้อมูล และไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 1 ตัวด้วยกันคือ

7.)Linear PCM                 28.0 Mbps (28000Kbps) คุณภาพระดับ MASTER-STUDIO  

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10อาชีพอนาคตที่จะมา'แรงส์'สุดๆ



1. วิศวกรเนื้อเยื่อ
          อนาคตโลกเราจะมีผิวหนังปลอม และกระดูกอ่อนเทียมออกวางจำหน่าย นักวิจัยสามารถสร้างลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะใหม่ขึ้นมาในช่องท้องของสัตว์ เป็นการเริ่มต้นสร้างเนื้อเยื่อของตับ หัวใจ และไต ขึ้น

2. นักวางโครงสร้างยีน
          แผนผังโครงสร้างทางพันธุกรรม (ยีน) ของมนุษย์ ทำให้ช่างเทคนิคสามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยทางพันธุกรรมของมนุษย์แต่ละคนได้ ด้วยการเขียนรหัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ เมื่อมีการสแกนภาพของดีเอ็นเอเราเพื่อหาข้อบกพร่อง แล้วหมอจะใช้การบำบัดทางพันธุกรรม มีการคัดเลือกเอาแต่โมเลกุลที่ฉลาดๆ เพื่อป้องกันปัญหาบางอย่าง เช่น โรคมะเร็ง

3. ชาวนา
          เกษตรกรยุคใหม่ จะปลูกพืชพรรณต่างๆ มีการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งผ่านการดูแลทางด้านพันธุวิศวกรรมมาก่อนแล้ว โครงการนี้เริ่มก้าวหน้ามากแล้ว มีทั้งวัคซีนที่จะฉีดให้มะเขือเทศโต และวิทยาการอื่นๆ

4. ผู้ตรวจสอบเรื่องอาหาร
          ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรกินในมื้อค่ำ เมื่อมีปลาที่โตเร็ว และมีการตัดต่อทางพันธุกรรม ทำให้มีอาหารพอสำหรับประชากรที่ล้นโลก แต่ก็จะต้องระวังเรื่องผลกระทบทางพันธุกรรมต่างๆ ด้วย

5. นักขุดข้อมูล
          อนาคตจะมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญมาจัดการข้อมูลของที่ต่างๆ เขาจะรู้รูปแบบพฤติกรรมของผู้คน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อนักการตลาดมาก

6. ช่างซ่อมด่วนตามสาย
          ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับบรรดาเครื่องเล่นวิดีโอหรือว่าดีวีดีได้ละก็ คุณจะมีรีโมทที่ทำหน้าที่ดูแล อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในบ้าน แต่ก็น่าจะยังมีช่างซ่อมที่เราจะเรียกใช้บริการตามสายผ่านวิดีโอโฟนอยู่บ้าง

7. นักแสดงแบบ Virtual Reality
          การชมโทรทัศน์แบบเสียเงินจะกลายเป็นการจ่ายต่อครั้งที่มีการแสดง ต่อไปนักแสดงจะมีปฏิกิริยากับเราได้ในโลกของละคร Cyber Space อาชีพนักเขียนบทก็ยังจะมีคนต้องการสูงเพราะคงจะมีบทแปลกๆ อีกมาก

8. นักโฆษณาเพื่อคนๆ เดียว
          อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมุ่งเน้นไปที่บุคคลมากขึ้น นักโฆษณาจะสร้างสรรค์เนื้อหาโฆษณาของสินค้า เพื่อผู้บริโภคแต่ละคนโดยเฉพาะ แต่ก็จะมีโฆษณาอื่นๆ ที่พยายามดึงความสนใจเราด้วยกลิ่นและรส เพื่อส่งกระแสกระตุ้นให้เราอยากซื้อสินค้าในทันที

9. มนุษย์เลียนแบบ
          วิศวกรคอมพิวเตอร์ ยังคงพยายามที่จะเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ ในอนาคตเราจะแยกไม่ออกเลยว่าเรากำลังคุยกับคนหรือหุ่น เจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นี้จะทำหน้าที่ดูแลลูกค้า หรือเป็นคนคอยสรุปอีเมลให้เรา หรือแม้กระทั่งตอบจดหมายแทนเราเลย

10. วิศวกรแห่งความรู้
          นักเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ จะแปลผลงาน หรือการทำงานของเราลงไปเป็นซอฟท์แวร์ ทำให้สมองพวกเรามีขนาดเล็กลง

(ที่มา Komchadluek.net )

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต

ใครที่ยังมีทุกข์ทางใจและกำลังมองหาหนทางในการดับทุกข์นั้น ขอให้รู้ว่าท่าน ว.วชิรเมธี ได้ให้ข้อคิดดีๆ มาลองปรับทัศนะของชีวิตด้วย “7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต”


          1.  ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุขดังที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า “โลกเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”

          2 . ปัญญาดีย่อมมีความสุข “คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์”

          3.  ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า “ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคนหากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลมฟุ้ง กระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา”

          4.  ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข “จงเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภท 1. บาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาฯมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง”

          5.  ทำงานดีก็มีความสุข ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ “คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่าในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์ – อาทิตย์ แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน ลงเบิกบานขณะหายใจ”

          6.  มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะ ไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

          7.  ครอบครัวดีทวีความสุข “ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิตบุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์”

          “7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต” หลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิตจากท่าน ว.วชิรเมธี เป็นสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทยทั้งวิกฤติการเมือง และวิกฤติการเศรษฐกิจ

           สำหรับเป็นยาชูใจกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม

สร้างพลังงานไฟฟ้า จากการก้าวเท้า



   การเก็บเกี่ยวพลังงาน (Energy Harvesting หรือ Energy Scavenging) เป็นกระบวนการนำหรือเปลี่ยนแปลงพลังงานซึ่งเป็นผลพลอยได้จากแหล่งพลังงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การเก็บเกี่ยวพลังงานการไหลหรือการตกของน้ำด้วยกังหันน้ำ แล้วนำพลังงานการหมุนเวียนของกังหันมาขับเคลื่อนอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าเราไม่เก็บเกี่ยวพลังงานดังกล่าวซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ พลังงานเหล่านี้ก็อาจจะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ร่างกายของคนเรานั้นก็จัดว่าเป็นแหล่งพลังงานซึ่งเราสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานได้เช่นกัน การก้าวเท้าเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งใช้และให้พลังงานมาก เมื่อเทียบกับกิจกรรมในการใช้อวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายบทความนี้กล่าวถึงวิธีการคำนวณพลังงานที่อาจสามารถเก็บเกี่ยวได้ วิธีการเก็บเกี่ยวพลังงาน อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากการก้าวเท้า และการประยุกต์ใช้ในการทหารและการอุตสาหกรรมรองเท้าของไทยการเก็บเกี่ยวพลังงานจากการก้าวเท้า จะเปลี่ยนพลังงานขณะการลงเท้าเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีอย่างน้อย 5 วิธี ดังนี้
      1. เพียโซอิเล็กทริก (Piezoelectric)
      2. ไฟฟ้าสถิต (Electrostatics)
      3. การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction)
      4. รีเวิร์สอิเล็กโทรเวตติ้ง (Reverse Electrowetting)
      5. แม่เหล็กอุทกพลศาสตร์ (Magnetohydrodynamics)
การก้าวเท้าเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งซึ่งเราสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานได้ หากเราสังเกตร่างกายของเรา และสิ่งอื่น ๆ รอบตัว ทั้งที่คนสร้างขึ้นและมีอยู่ในธรรมชาติ ก็อาจจะพบว่ามีแหล่งพลังงานมากมายที่สูญเสียพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เราอาจเก็บเกี่ยวพลังงานที่สูญเสียนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรืออย่างน้อยเราก็ควรใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อเราจะได้มีพลังงานไว้ใช้อย่างยั่งยืน

ข้อมูลจาก สมาคมผู้รับผิดชอบ ด้านพลังงาน

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Digital TV เรื่องจริงที่เราต้องรู้กับกสทช.

กสทช. นำเสนอการอธิบายความหมายและรูปแบบของการปรับเปลี่ยนยุคจาก Analog เข้าสู่ระบบ Digital TV โดยผ่านการเล่าเรื่องด้วยรูปแบบของ Info graphic


6 วิธีแก้เซ็ง-เครียด-ท้อแท้-เบื่อหน่ายในที่ทำงาน


เรื่องราวของความเครียดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะเรื่องเครียดๆ ในที่ทำงานเนี้ย ปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่าต้องมีแน่ แต่จะมากหรือน้อยคงแตกต่างกันตามเรื่องราวที่แต่ละคนได้พบเจอ ทว่าเมื่อเกิดภาวะเซ็ง เครียด เศร้า ขึ้นมาแล้ว ต้องหาทางกำจัดให้ด่วน เพราะขืนปล่อยไว้ให้คาราคาซัง นอกจากคุณจะทำงานแบบไม่มีความสุขแล้ว ผลงานที่ออกมายังอาจถึงขั้นแย่ ก็เป็นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงอยากชวนคุณมากำจัดความเครียดอย่างด่วนไปกับ 6 วิธีคลายกังวลเมื่อคุณต้องเจอกับเรื่องเครียด ชวนปวดสมองในที่ทำงาน

วิธี 1 : ออกกำลังเบาๆ หรือเดินเร็วๆ เรียกเหงื่อ

เมื่อต้องเจอกับปัญหางานที่หนักหน่วง จนคุณรู้สึกเหนื่อยเกินไป คิดงานเท่าไหร่ก็ไม่ออก อย่ามัวนั่งท่าเดิมๆ ให้รากงอกอยู่เลย เพราะเมื่อเครียดแล้ว ยังฝืนนั่งอยู่อย่างนั้น ก็เหมือนกับยิ่งเติมความเครียดความทุกข์ให้มากขึ้นไปอีก แถมประสิทธิภาพงานที่ออกมา ก็อาจไม่ดีเท่าที่ควร

ลองเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายเบาๆ หรือออกไปเดินนอกออฟฟิศ ลองเดินเร็วๆ เพื่อเรียกเหงื่อเล็กน้อย แล้วพักหยุดมองต้นไม้ใบหญ้าสักหน่อย ทั้งนี้ร่างกายจะได้ผ่อนคลาย และมีออกซิเจน (Oxygen) เข้ามาบำรุงสมองมากขึ้นอีกหน่อย เมื่อกลับมาลุยงานใหม่ จะได้สมองปลอดโปร่งสดใสมากขึ้นไงล่ะ

วิธี 2 : เชิดใส่ชา-กาแฟ-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (caffeine) อย่าง ชา กาแฟ แม้จะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัวได้บ้าง แต่หากร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะเครียด การเติมคาเฟอีนเข้าไป กลับจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกเครียด และกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเมื่อยามเกิดสภาวะเครียด แนะว่าให้เชิดใส่ เครื่องดื่มจำพวกชากาแฟไปก่อน จะได้ไม่เป็นการเติมเชื้อไฟ ให้ความเครียดยิ่งปะทุมากขึ้นไปอีก

เช่นเดียวกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcohol) บางท่านเมื่อเครียดจัดเรื่องงาน พอตกเย็นมักชวนกันมานั่งดริงก์ หวังให้ลืมความเครียดน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะเลย เพราะการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ จะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง จนคุณเกิดความวิตกกังวลใจได้ง่ายขึ้น แทนที่จะหายเครียดกลับจะยิ่งหดหู่ซึมเศร้ายิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

วิธี 3 : รับประทานอาหารเปี่ยมโปรตีน

หลังบอกถึงสิ่งที่ควรเลี่ยงเมื่อยามเครียดไปแล้ว มาถึงอาหารที่ควรรับประทานเมื่อคุณรู้สึกว่าสภาพจิตใจย่ำแย่กันบ้าง แนะนำให้ทานอาหารจำพวกโปรตีน (protein) ค่ะ เพราะในโปรตีน จะมีกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ อันจะช่วยบำรุงให้สมองรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดได้

ดังนั้นเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัว หรือเครียดจนจุดประกายความสร้างสรรค์ไม่ติด หันไปหยิบอาหารที่เปี่ยมไปด้วยโปรตีนมาทานเล่นสักหน่อย จะเป็นโยเกิร์ต (yogurt) สักถ้วย หรือถั่วสักหยิบมือ เคี้ยวเล่นตักเพลินกันสักเดี๋ยว ก็เพิ่มพลังสมองได้เพียบแล้วหล่ะ

วิธี 4 : จัดระเบียบความคิด เรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำ

หลายครั้งทีเดียวที่เรื่องราวของความวิตกกังวล และความเครียด มีสาเหตุมาจากการที่สมองคุณต้องจดจำเรื่องราวของงานมากมายไปหมด จนเกิดความกังวลใจ ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณควรทำเมื่อรู้สึกเครียด หรือกังวลใจมากๆ คือ ให้คุณหยุดนิ่ง แล้วคิดเรียบเรียงจัดสรร กระบวนการทำงานของตัวเองเสียใหม่

ค่อยๆ คิดว่ามีงานอะไรที่คุณต้องสะสางบ้าง สิ่งใดควรจะทำก่อน-หลัง อาจจดไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวกันลืม เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจัดระเบียบความคิดแล้ว คุณอาจจะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องต่างๆ ที่คุณกังวลอยู่ มันก็ไม่ได้มากมายนี่นา ... แค่จัดการงานแต่ละส่วน ให้เสร็จสิ้นไปทีละเปราะ ก็เท่านั้นเอง

วิธี 5 : ย้อนรำลึกถึง ความสำเร็จที่ผ่านมา

ในบางช่วงเวลา คุณอาจจะรู้สึกแย่เกินกว่าที่จะคิดเรื่องราวต่างๆ ในแง่บวกได้ ..อาจเพราะเพิ่งโดนเจ้านายต่อว่ามา นาทีนี้จะคิดอะไรได้.. เลยมีแต่เครียดและหดหู่ นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ มองแต่ละเรื่องมันช่างเลวร้าย วุ่นวาย ชวนวิตกกังวลไปเสียทุกอย่าง

แนะนำให้คุณลองเขียนสิ่งดีๆ ที่คุณทำสำเร็จมาแล้วลงบนกระดาษสักแผ่น อาจเป็นความสำเร็จเมื่อสัปดาห์ก่อน เดือนก่อน หรือปีก่อน ก็ยังไหว เพราะบางครั้ง การได้ย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่คุณเคยทำสำเร็จมาแล้ว จะเป็นการรำลึกถึงความภาคภูมิใจที่จะช่วยเพิ่มเติมพลังชีวิต ดึงความคิดในแง่บวกให้คุณกลับมาเกิดความมั่นใจ สร้างสรรค์ความสำเร็จใหม่ๆ ได้อีกครั้ง

คิดเสียว่า ไม่มีใครไม่ผิดพลาด สิ่งดีๆ และความสำเร็จในอดีตเมื่อเคยเกิดขึ้นได้ก็สามารถกลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้เสมอ ขอเพียงแค่ไม่สิ้นหวัง หมดพลังใจไปเสียก่อน

วิธี 6 : สร้างแรงจูงใจ ด้วยผลตอบแทน

เมื่อนั่งทำงานคร่ำเคร่งกันมาเป็นแรมเดือนแรมปี มันคงต้องมีกันบ้าง บางช่วงอารมณ์ที่คุณรู้สึก เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ จนถึงขั้นเครียด ไม่อยากทำงาน หรือทำแบบขอไปที มิได้ใส่ใจกับเนื้อหา หรือคุณภาพงานเท่าไหร่ ..ขืนปล่อยความคิดเช่นนี้ไว้ไม่ดีแน่ เพราะมันยิ่งทำให้คุณเครียด แถมผลงานก็ยังตกต่ำจนอาจถึงขั้นไร้ประสิทธิภาพ!

แนวทางการสร้างพลังใจง่ายๆ คือ ให้คุณลองคิดถึงผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจากการทำงานดูสิ และไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงินนะคะ แต่อาจเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจ ผลที่เกียวข้องกับงานโดยภาพรวม เช่น หากคุณตั้งใจทำงานให้ออกมาดีที่สุด งานที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะออกมาเยี่ยมยอด สร้างชื่อเสียงให้กับคุณ และทีมงาน จนเกิดเป็นผลสำเร็จแสนภูมิใจ

ความคิดเช่นนี้นอกจากทำให้ช่วยสลัดทิ้งความเครียด และความน่าเบื่อหน่ายได้แล้ว พลังใจและความภาคภูมิใจที่เกิด..ยังช่วยทำให้คุณกลับมามุมานะ สร้างสรรค์งานที่เปี่ยมคุณภาพได้อีกต่างหาก



ที่มา :  ASTV ผู้จัดการออนไลน์  By Lady Manager เรียบเรียงจาก ไชน์

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการทำ "เบลอ" ใบหน้าให้กับคนในคลิปบน YouTube


  เช้านี้ทางเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอรายงานข่าวเกียวกับเครื่องมือใหม่ใน YouTube ที่่ช่วยให้คุณสามารถปกปิดใบหน้าของคนในคลิป เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว และป้องกันไม่ให้ใครจำได้ ด้วยทูลส์ทีมีชื่อว่า Blur All Faces หรือเครื่องมือช่วยทำให้หน้าของคนในคลิป"เบลอ" จนเห็นไม่ชัด (คล้ายเอายาหม่องไปทา :D) ซึ่งสามารถสั่งให้ YouTube จัดการได้ภายในคลิกเดียว

หลังจากขึ้นข่าวไปบนเว็บไซต์ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านกันพอสมควร โดยมีผู้อ่านจำนวนหนึ่งได้สอบถามเข้ามายังกองบรรณาธิการ ซึ่งหนึ่งในคำถามยอดฮิตก็คือ แล้วขั้นตอนการใช้เครื่องมือดังกล่าวเป็นอย่างไร? ใช้ได้แล้วหรือยัง? คำตอบคือ YouTube เปิดให้สมาชิกใช้งานได้แล้ว โดยมีขั้นตอนการทำหน้า"เบลอ"โดยอัตโนมัติมีดังนี้

1. ล็อกอินบัญชีผู้ใช้ YouTube ของคุณ

2. คลิกลิงค์ชื่อผู้ใช้ (username) ที่อยู่บริเวณมุมบนขวา เลือกคำสั่ง Video Manager

3. คลิกปุ่ม Edit ของคลิปวิดีโอที่ต้องการใส่ "เบลอ" ให้กับหน้าคนในคลิป

4. เมื่อเข้าสู่หน้าแก้ไขวิดีโอให้คลิกเมนู Enhancements ที่อยู่ด้านบน

5. ในหน้าแก้ไขปรับปรุงวิดีโอจะเปิดคลิปเป็น 2 ช่องพร้อมกัน คือ คลิปต้นฉบับ (original) และพรีวิวคลิปที่ปรับแต่งแก้ไข (Quick Preview) สังเกตที่ด้านล่างของคลิป ให้คลิกปุ่ม Additional features

6. รายละเอียดของฟีเจอร์ Blur All Faces จะโผล่ขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม Apple ที่อยู่ด้านล่าง

7. สังเกตผลลัพธ์ของการทำเบลอหน้าคนในหน้าต่าง Quick Preview หากพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ คลิกปุ่ม Save As เป็นอันเรียบร้อย

ไม่ยากเกินไปนะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจวิธีทำ "เบลอ" ใบหน้าคนในคลิปโดยอัตโนมัติของ YouTube อ้อ..ลืมบอกไป YouTube จะมีตัวเลือกให้ลบคลิปต้นฉบับทิ้งให้ด้วยนะครับ เพื่อช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของคนในคลิปให้ปลอดภัยที่สุดในนั่นเอง


ที่มา  http://www.arip.co.th