วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"โมโรเฮยะ" ราชาแห่งวิตามิน


  อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์ ในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิดให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารจาก "ผัก" จึงมีประโยชน์และให้คุณค่ากับร่างกายมากมาย รวมถึงวิตามินต่างๆ ในผักนั้นยังช่วยป้องกันโรค ส่งผลให้ผิวพรรณสดใส อีกทั้งยังมีคุณค่าทางยาแฝงด้วย

            นอกจากวิตามินแล้วสิ่งสําคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "ใยอาหาร" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน แต่เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการมาก ใยอาหารจะช่วยรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกขึ้น ในปัจจุบันวิถีการกินผักเพื่อสุขภาพ หรือการกินผักปลอดสารพิษ กําลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งนายสัตวแพทย์สิทธิศักดิ์ เหมืองสิน ผู้จัดการบริษัท ภูเก็ต เป๋าฮื้อ ฟาร์ม และภัตตาคารเปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้นําผักชนิดหนึ่งเข้ามาทําการทดลองปลูก ซึ่งเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวิตามิน ผักที่ว่าคือ "โมโรเฮยะ" (Moroheiya)

โมโรเฮยะ ผักที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวิตามิน มีลักษณะคล้ายกับใบกระเพราะสมุนไพรของบ้านเรา

            โมโรเฮยะ (Moroheiya) มีสารอาหารประเภทเบต้าแคโรทีน มากกว่าผักโขมถึง 3 เท่า ขณะที่มีวิตามินเอ บี 1 บี 2 และวิตามินซี มากกว่าแครอท บร็อคโคลี่และผักโขมรวมกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารประเภทโปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำในปริมาณสูงมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าราชาแห่งวิตามิน โมโรเฮยะมีต้นกําเนิดมาจากประเทศอียิปต์ แต่เป็นที่นิยมบริโภคของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เพราะวิตามินและแร่ธาตุในผักโมโรเฮยะจะช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทํางานได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคและกําจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วย นอกจากนี้เส้นใยอาหารของโมโรเฮยะยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความอ้วน ลดเบาหวาน และป้องกันมะเร็งลําไส้ใหญ่

            ต้นโมโรเฮยะนี้มีลักษณะคล้ายกับต้นกระเพรา แต่ส่วนโคนของใบจะมีแฉกขนาดเล็กๆ แยกออกมา 2 ข้างคล้ายกับหางของแมลง สามารถปลูกได้ดีในอากาศร้อน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่อายุประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มมีฝักซึ่งเมื่อแก่จัดอายุประมาณ 6 เดือน จะสามารถเก็บมาใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไปได้ นอกจากโมโรเฮยะแล้วผักพื้นบ้านของไทย เช่น กระถิน กระเทียม มันเทศ ฟักทอง แครอท ผักใบเขียว พริก มะเขือเทศ และ หัวหอม ฯลฯ ก็มีวิตามินและแร่ธาตุ ไม่น้อยไปกว่าโมโรเฮยะ และยังมีคุณค่าทางยาสมุนไพรแฝงอยู่ด้วย

            จากคุณค่าและวิตามิน ในผักโมโรเฮยะที่กล่าวมาข้างต้นทําให้ในปัจจุบันมีการนําผักโมโรเฮยะ มาผลิตหรือใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโมโรเฮยะผสมไชวีส ผงโมโรเฮยะสําหรับทําอาหารและเบเกอรี่ ชาโมโรเฮยะ บะหมี่อบแห้งโมโรเฮยะ คุ๊กกี้โมโรเฮยะ และบิสกิตโมโรเฮยะ วิตามินในโมโรเฮยะหรือผักต่างๆ ถือเป็นสารอินทรีย์ที่สําคัญต่อชีวิต (Vita for life) แม้ว่าร่างกายจะต้องการวิตามินในปริมาณน้อย แต่ก็มีความจําเป็นต่อการทํางานของระบบประสาท และอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายนับ ตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนําโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ และผลิตพลังงานสําหรับดํารงชีวิต วิตามินจึงเป็นตัวจักรเล็กๆ แต่มีความสําคัญยิ่ง ซึ่งร่างกายจะขาดเสียมิได้ และนอกจากความสําคัญของใยอาหารที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสามารถช่วยรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรงและช่วยในการขับถ่ายให้สะดวกแล้วนั้น ใยอาหาร (fiber) ยังมีคุณประโยชน์กับร่างกายด้านอื่นๆ คุณประโยชน์ของการบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูง ได้แก่


            1. ใยอาหารกับโรคท้องผูก การบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูงจะช่วยลดปัญหาอาการท้องผูก เพราะใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยเพิ่มน้ำหนัก ปริมาณกากอาหารทําให้กากอาหารนุ่มและช่วยลดเวลาที่กากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลําไส้ใหญ่ ส่วนใยอาหารที่ละลายน้ำพวกเฮมิเซลลูโลสจะช่วยดูดซับน้ำในทางเดินอาหารทําให้กากอาหารนุ่มและช่วยลดเวลาที่กากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลําไส้ใหญ่เช่นเดียวกัน

            2. ใยอาหารกับโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ การบริโภคอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลําไส้ใหญ่โดยเฉพาะใยอาหารที่ ไม่ละลายน้ำเช่น รําข้าวสาลี เซลลูโลส

            3. ใยอาหารกับโรคอ้วน การบริโภคอาหาร ที่มีใยอาหารมากจะให้พลังงานน้อย อาหารที่มีใยอาหารต่ำโดยเฉพาะน้ำตาล มีผลต่อการกระตุ้นศูนย์ควบคุมการอิ่มได้น้อยมาก เนื่องจากบริโภคง่ายและรวดเร็วทําให้บริโภคได้มาก ใยอาหารช่วยในการลดน้ำหนักได้เนื่องจากใยอาหารที่ละลายน้ำจะกลายเป็นเจ ลเพิ่มความหนืดและการเกาะตัวของสารในกระเพาะอาหารทําให้ผู้บริโภครู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และอิ่มนานทําให้กระเพาะอาหารว่างช้าลง

            4. ใยอาหารกับโรคไตเรื้อรัง ใยอาหารที่เป็นเฮมิเซลลูโลส สามารถลดระดับสารยูเรีย และสารครีเอตินิน (Creatinine) ในเลือดของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ร้อยละ 11-19 และสามารถเพิ่มการขับถ่ายสารไนโตรเจนออกทางอุจจาระได้ร้อยละ 39 ช่วยลดการสังเคราะห์แอมโมเนียได้ถึงร้อยละ 30 และจะช่วยลดอาการยูรีเมีย (uremia) ซึ่งเป็นอาการของโรคไตวาย มีของเสียคั่งในเลือดจนเป็นพิษ จากของเสียนั้น ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ นอกจากโรคที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การบริโภคผักซึ่งมีใยอาหารสูงยังสามารถช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการย่อยและดูดซึมแลคโตสได้ดีขึ้น

            นอกเหนือจากวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารแล้ว ในผักยังมีสารสุขภาพอื่นที่ให้คุณค่าแก่ร่างกาย เช่น น้ำมันระเหยแอนติไบโอติกธรรมชาติ ฮอร์โมน ธาตุสี (pigment) จําพวกคลอโรฟิลล์ ไบโอฟลา-วินอยด์ (bio-flavinoids) โดยคลอโรฟีลเพ็กติน (pectin) และแอนโตไซอันส์ (anthocyans) ช่วยป้องกันร่างกายจากรังสีและสิ่งปนเปื้อนที่มากับอากาศ และชะลอความแก่ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก My firstbra


ผักสวนครัวของบ้านเราก็ยังเป็นแหล่งวิตามินที่ดี หาง่าย และยังเป็นสมุนไพรอีกด้วย


            เชื่อกันว่าสารเหล่านี้เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะทําให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีขึ้น ผักโมโรเฮยะเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเบต้าแคโรทีน และเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในเรื่องการป้องกันมะเร็งและโรคในผู้สูงอายุได้ดี ทั้งยังมีแคลเซียมมากไม่แพ้ผักชนิดอื่นและอุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ ดังนั้น ผักโมโรเฮยะถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้บริโภคควรปรับเปลี่ยนวิถีการบริโภค โดยหันมาบริโภคผักเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น และควรรับประทานผักให้หลากหลายชนิดเป็นประจํา เพื่อสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป และสอดคล้องกับหลักการที่นักวิชาการสมัยใหม่เรียกว่า "balanced diet"


ขอขอบคุณ วิชาการ.คอม

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรู้ Blu-ray,HD(High-Definition) ค่า rate bit และอื่นๆ

 bit rate คืออะไรครับ
จำนวน bit ที่ใช้ในการแสดงข้อมูลต่อหนึ่งหน่วยเวลา

ถ้าbit rateมาก จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นใช่ไหมและไฟล์จะดีกว่าbitrateน้อยใช่ไหมครับ
ถูกและไม่ถูกครับ ขึ้นอยู่กับ format ที่คุณใช้งานด้วย

อนึงการดูว่าไฟล์ของเราที่โหลดไปจะมีความคมชัดเท่าใดมากแค่ไหนต้องดู Bit Rate Video เป็นอันดับแรกนะครับ

วีดีโอบิทเรทต่างๆนะครับ

1.) 128 – 384 kbit/s   – คุณภาพระดับ วีดีโอบนอินเทอร์เนท
2.) 1.25 Mbit/s          – คุณภาพระดับ VCD
3.) 5 Mbit/s              – คุณภาพระดับ DVD
4.) 15 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HDTV
5.) 36 Mbit/s            – คุณภาพระดับ HD DVD
6.) 54 Mbit/s            – คุณภาพระดับ Blu-ray Disc
บิดยิ่งมากยิ่งคมชัดมากๆนะครับ

เช่นเรื่องนี้นะครับ

Video
ID                                  : 1
Format                           : AVC
Format/Info                      : Advanced Video Codec
Format profile                   : High@L4.1
Format settings ,  CABAC           : Yes
Format settings ,  ReFrames        : 5 frames
Muxing mode                      : Container profile=Unknown@4.1
Codec ID                         : V_MPEG4/ISO/AVC
Duration                         : 1h 53mn
Bit rate                           : 10.4 Mbps
Nominal bit rate               : 10.9 Mbps
Width                              : 1 920 pixels
Height                             : 800 pixels
Display aspect ratio           : 2.400
Frame rate                       : 23.976 fps
Resolution                       : 24 bits
Colorimetry                     : 4:2:0
Scan type                        : Progressive
Bits/(Pixel*Frame)            : 0.282

ส่วนFps จะสำหรับระบุเฟรมที่ออกมาในแต่ละนาที่
ปกติก็ไม่ควรต่ำกว่า 20 เพราะจะทำให้ภาพสั่นปวดตาได้ และหนังทัวไปอยู่ที่30/วิก็ดีมากแล้ว

เสียงครับ(Sound DTS-HD Master)
ระบบเสียงแบบใหม่กับแผ่น Blu-ray Disc


หลายๆท่านอาจจะทราบว่าในปัจจุบันนี้ระบบ High definition กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าระบบนี้มีเฉพาะที่เป็นสัญญาณภาพความละเอียดสูงเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีระบบเสียงที่เป็นแบบ High definition ด้วย!

ระบบเสียงแบบ High Definition นี้จะมาพร้อมกับแผ่น Blu-ray Disc เนื่องจากระบบใหม่นี้ไฟล์จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมาก Blu-ray Disc จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับระบบเสียงนี้
Dolby & DTS กับยุคของ High definition

เมื่อพูดถึงระบบเสียงแบบใหม่นี้ แน่นอนว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านการพัฒนาระบบเสียงรอบทิศทางจนเป็นที่ยอมรับกันโดยกว้างขวาง ต่างก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาร่วมในการเปิดตลาดของระบบเสียงแบบ High definition นี้ด้วยเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ “Dolby” และ “DTS”


ระบบเสียง High definition จาก Dolby

ค่าย Dolby ได้พัฒนาระบบเสียงขึ้นมาใหม่ 2 ระบบเพื่อรองรับการเข้าสู่โลกของ High definition นั่นคือ “Dolby Digital Plus” และ “Dolby TrueHD”

แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึง Dolby TrueHD เพียงอย่างเดียว เพราะระบบนี้จะเป็นระบบเสียงหลักระบบหนึ่งในแผ่น Blu-ray disc

Dolby TrueHD เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลเลย นั่นหมายความว่าสัญญาณเสียงที่เรา ได้ยินจากระบบ Dolby TrueHD นั้นจะมีความเที่ยงตรงเหมือนกับที่บันทึก มาจากสตูดิโอเลยทีเดียว และยังสามารถ รองรับช่องสัญญาณเสียงได้สูงสุดถึง 8 channel โดยเมื่อเทียบกับระบบ เสียง Dolby Digital แบบเก่า Dolby TrueHD จะให้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นถึง 28* เท่าเลยทีเดียว

* วัดจาก Bit-rate โดย Dolby Digital จะให้ Bit-rate = 0.64 Mbps ขณะนี้ Dolby TrueHD ให้ Bit-rate = 18 Mbps)

ระบบเสียง High definition จาก DTS

เช่นเดียวกับ Dolby, ค่าย DTSได้พัฒนาะระบบเสียงแบบ High definition ขึ้นมา 2 รูปแบบเหมือนกัน นั่นคือ “DTS-HD High Resolution Audio” และ “DTS-HD Master Audio” ในที่นี้จะขอกล่าวถึง DTS-HD Master Audio เท่านั้น

DTS-HD Master Audio เป็นระบบเสียงรอบทิศทางที่ไม่มีการสูญเสียของข้อมูลคล้ายกับ Dolby TrueHD และรองรับช่องสัญญาณได้ถึง 8 channel เหมือนกัน แต่สิ่งที่ DTS-HD Master Audio มีเหนือกว่าก็คือ คุณภาพเสียงซึ่งสามารถให้ได้มากถึง 28 Mpbs

 แต่ในด้านความนิยมหรือความหลากหลายของแผ่นซอฟแวร์ให้ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าทางบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ จะให้ความสำคัญกับ Dolby TrueHD มากกว่า ทำให้แผ่น Blu-ray disc ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมี Dolby TrueHD มาด้วย ในขณะนี้แผ่น Blu-ray Disc ที่มีระบบเสียง DTS-HD Master Audio ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย


เช่น
Audio

ID                                  : 2
Format                            : DTS
Format/Info                     : Digital Theater Systems
Codec ID                         : A_DTS
Duration                          : 1h 53mn
Bit rate mode                   : Constant
Bit rate                            : 1 536 Kbps
Channel(s)                        : 6 channels
Channel positions               : Front: L C R ,  Surround: L R ,  LFE
Sampling rate                    : 48.0 KHz
Resolution                        : 24 bits
Title                                : English DTS 1509kbps
Language                         : English
เป็นคุณภาพแบบ DVD ครับ

                         ตารางเทียบอัตราBitrate เสียงขนาดต่างๆนะครับ/size]

ตารางเสียงบิทเรตต่างๆ
แบบที่บีบอีดข้อมูล และสูญเสียคุณภาพของสัญญาณแล้วมี 4 ตัวด้วยกันคือ

1.) Dolby Digital                    -0.64 Mbps (664Kbps) แบบที่ท่าน Princo13 ชี้แจงครับ คุณภาพระดับ DVD
2.) DTS                              -1.5 Mbps    (1530Kbps) คุณภาพระดับ DVD
3.) Dolby Digital Plus             -1.7 Mbps    (1760Kbps) คุณถาพระดับ HDTV ตามช่องรายการ TV (เฉพาะต่างประเทศนะครับ)เช่น Japan
4.) DTS-HD HighResolution     -6.0 Mbps    (6000Kbps) คุณภาพระดับ HDTV 5.1


แบบบีบอีดข้อมูล แต่ไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 2 ตัวด้วยกันคือ

5.)Dolby(TRUE HD)               -18.0 Mbps (18000Kbps) คุณภาพระดับ HD-DVD
6.)DTS-HD MasterAudio(DTS-HDMA) -24.5 Mbps (24500Kbps) คุณภาพระดับ BLURAY


แบบไม่บีบอีดข้อมูล และไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณมี 1 ตัวด้วยกันคือ

7.)Linear PCM                 28.0 Mbps (28000Kbps) คุณภาพระดับ MASTER-STUDIO  

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

10อาชีพอนาคตที่จะมา'แรงส์'สุดๆ



1. วิศวกรเนื้อเยื่อ
          อนาคตโลกเราจะมีผิวหนังปลอม และกระดูกอ่อนเทียมออกวางจำหน่าย นักวิจัยสามารถสร้างลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะใหม่ขึ้นมาในช่องท้องของสัตว์ เป็นการเริ่มต้นสร้างเนื้อเยื่อของตับ หัวใจ และไต ขึ้น

2. นักวางโครงสร้างยีน
          แผนผังโครงสร้างทางพันธุกรรม (ยีน) ของมนุษย์ ทำให้ช่างเทคนิคสามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยทางพันธุกรรมของมนุษย์แต่ละคนได้ ด้วยการเขียนรหัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ เมื่อมีการสแกนภาพของดีเอ็นเอเราเพื่อหาข้อบกพร่อง แล้วหมอจะใช้การบำบัดทางพันธุกรรม มีการคัดเลือกเอาแต่โมเลกุลที่ฉลาดๆ เพื่อป้องกันปัญหาบางอย่าง เช่น โรคมะเร็ง

3. ชาวนา
          เกษตรกรยุคใหม่ จะปลูกพืชพรรณต่างๆ มีการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งผ่านการดูแลทางด้านพันธุวิศวกรรมมาก่อนแล้ว โครงการนี้เริ่มก้าวหน้ามากแล้ว มีทั้งวัคซีนที่จะฉีดให้มะเขือเทศโต และวิทยาการอื่นๆ

4. ผู้ตรวจสอบเรื่องอาหาร
          ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรกินในมื้อค่ำ เมื่อมีปลาที่โตเร็ว และมีการตัดต่อทางพันธุกรรม ทำให้มีอาหารพอสำหรับประชากรที่ล้นโลก แต่ก็จะต้องระวังเรื่องผลกระทบทางพันธุกรรมต่างๆ ด้วย

5. นักขุดข้อมูล
          อนาคตจะมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญมาจัดการข้อมูลของที่ต่างๆ เขาจะรู้รูปแบบพฤติกรรมของผู้คน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อนักการตลาดมาก

6. ช่างซ่อมด่วนตามสาย
          ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับบรรดาเครื่องเล่นวิดีโอหรือว่าดีวีดีได้ละก็ คุณจะมีรีโมทที่ทำหน้าที่ดูแล อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในบ้าน แต่ก็น่าจะยังมีช่างซ่อมที่เราจะเรียกใช้บริการตามสายผ่านวิดีโอโฟนอยู่บ้าง

7. นักแสดงแบบ Virtual Reality
          การชมโทรทัศน์แบบเสียเงินจะกลายเป็นการจ่ายต่อครั้งที่มีการแสดง ต่อไปนักแสดงจะมีปฏิกิริยากับเราได้ในโลกของละคร Cyber Space อาชีพนักเขียนบทก็ยังจะมีคนต้องการสูงเพราะคงจะมีบทแปลกๆ อีกมาก

8. นักโฆษณาเพื่อคนๆ เดียว
          อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมุ่งเน้นไปที่บุคคลมากขึ้น นักโฆษณาจะสร้างสรรค์เนื้อหาโฆษณาของสินค้า เพื่อผู้บริโภคแต่ละคนโดยเฉพาะ แต่ก็จะมีโฆษณาอื่นๆ ที่พยายามดึงความสนใจเราด้วยกลิ่นและรส เพื่อส่งกระแสกระตุ้นให้เราอยากซื้อสินค้าในทันที

9. มนุษย์เลียนแบบ
          วิศวกรคอมพิวเตอร์ ยังคงพยายามที่จะเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ ในอนาคตเราจะแยกไม่ออกเลยว่าเรากำลังคุยกับคนหรือหุ่น เจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นี้จะทำหน้าที่ดูแลลูกค้า หรือเป็นคนคอยสรุปอีเมลให้เรา หรือแม้กระทั่งตอบจดหมายแทนเราเลย

10. วิศวกรแห่งความรู้
          นักเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ จะแปลผลงาน หรือการทำงานของเราลงไปเป็นซอฟท์แวร์ ทำให้สมองพวกเรามีขนาดเล็กลง

(ที่มา Komchadluek.net )

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต

ใครที่ยังมีทุกข์ทางใจและกำลังมองหาหนทางในการดับทุกข์นั้น ขอให้รู้ว่าท่าน ว.วชิรเมธี ได้ให้ข้อคิดดีๆ มาลองปรับทัศนะของชีวิตด้วย “7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต”


          1.  ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุขดังที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า “โลกเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม”

          2 . ปัญญาดีย่อมมีความสุข “คนมีปัญญาย่อมใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเพื่อให้พ้นทุกข์ ดังนั้น สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์”

          3.  ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ว่า “ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคนหากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลมฟุ้ง กระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา”

          4.  ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข “จงเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภท 1. บาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาฯมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง”

          5.  ทำงานดีก็มีความสุข ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวไว้ “คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่าในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์ – อาทิตย์ แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน ลงเบิกบานขณะหายใจ”

          6.  มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นผิด ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะ ไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต สิ่งใดเกิดขึ้นมาเขาจะอุทานอยู่เสมอว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

          7.  ครอบครัวดีทวีความสุข “ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิตบุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์”

          “7 หลักคิด...มหัศจรรย์แห่งชีวิต” หลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิตจากท่าน ว.วชิรเมธี เป็นสิ่งที่ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อบรรเทาความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับภาวะเครียดที่รุมเร้าคนไทยทั้งวิกฤติการเมือง และวิกฤติการเศรษฐกิจ

           สำหรับเป็นยาชูใจกำลังใจในยามท้อแท้ได้อย่างดีเยี่ยม

สร้างพลังงานไฟฟ้า จากการก้าวเท้า



   การเก็บเกี่ยวพลังงาน (Energy Harvesting หรือ Energy Scavenging) เป็นกระบวนการนำหรือเปลี่ยนแปลงพลังงานซึ่งเป็นผลพลอยได้จากแหล่งพลังงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การเก็บเกี่ยวพลังงานการไหลหรือการตกของน้ำด้วยกังหันน้ำ แล้วนำพลังงานการหมุนเวียนของกังหันมาขับเคลื่อนอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าเราไม่เก็บเกี่ยวพลังงานดังกล่าวซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ พลังงานเหล่านี้ก็อาจจะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ร่างกายของคนเรานั้นก็จัดว่าเป็นแหล่งพลังงานซึ่งเราสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานได้เช่นกัน การก้าวเท้าเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งใช้และให้พลังงานมาก เมื่อเทียบกับกิจกรรมในการใช้อวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายบทความนี้กล่าวถึงวิธีการคำนวณพลังงานที่อาจสามารถเก็บเกี่ยวได้ วิธีการเก็บเกี่ยวพลังงาน อุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากการก้าวเท้า และการประยุกต์ใช้ในการทหารและการอุตสาหกรรมรองเท้าของไทยการเก็บเกี่ยวพลังงานจากการก้าวเท้า จะเปลี่ยนพลังงานขณะการลงเท้าเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีอย่างน้อย 5 วิธี ดังนี้
      1. เพียโซอิเล็กทริก (Piezoelectric)
      2. ไฟฟ้าสถิต (Electrostatics)
      3. การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction)
      4. รีเวิร์สอิเล็กโทรเวตติ้ง (Reverse Electrowetting)
      5. แม่เหล็กอุทกพลศาสตร์ (Magnetohydrodynamics)
การก้าวเท้าเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งซึ่งเราสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานได้ หากเราสังเกตร่างกายของเรา และสิ่งอื่น ๆ รอบตัว ทั้งที่คนสร้างขึ้นและมีอยู่ในธรรมชาติ ก็อาจจะพบว่ามีแหล่งพลังงานมากมายที่สูญเสียพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ เราอาจเก็บเกี่ยวพลังงานที่สูญเสียนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรืออย่างน้อยเราก็ควรใช้พลังงานที่เกี่ยวข้องให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อเราจะได้มีพลังงานไว้ใช้อย่างยั่งยืน

ข้อมูลจาก สมาคมผู้รับผิดชอบ ด้านพลังงาน

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Digital TV เรื่องจริงที่เราต้องรู้กับกสทช.

กสทช. นำเสนอการอธิบายความหมายและรูปแบบของการปรับเปลี่ยนยุคจาก Analog เข้าสู่ระบบ Digital TV โดยผ่านการเล่าเรื่องด้วยรูปแบบของ Info graphic


6 วิธีแก้เซ็ง-เครียด-ท้อแท้-เบื่อหน่ายในที่ทำงาน


เรื่องราวของความเครียดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะเรื่องเครียดๆ ในที่ทำงานเนี้ย ปฏิเสธกันไม่ได้เลยว่าต้องมีแน่ แต่จะมากหรือน้อยคงแตกต่างกันตามเรื่องราวที่แต่ละคนได้พบเจอ ทว่าเมื่อเกิดภาวะเซ็ง เครียด เศร้า ขึ้นมาแล้ว ต้องหาทางกำจัดให้ด่วน เพราะขืนปล่อยไว้ให้คาราคาซัง นอกจากคุณจะทำงานแบบไม่มีความสุขแล้ว ผลงานที่ออกมายังอาจถึงขั้นแย่ ก็เป็นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงอยากชวนคุณมากำจัดความเครียดอย่างด่วนไปกับ 6 วิธีคลายกังวลเมื่อคุณต้องเจอกับเรื่องเครียด ชวนปวดสมองในที่ทำงาน

วิธี 1 : ออกกำลังเบาๆ หรือเดินเร็วๆ เรียกเหงื่อ

เมื่อต้องเจอกับปัญหางานที่หนักหน่วง จนคุณรู้สึกเหนื่อยเกินไป คิดงานเท่าไหร่ก็ไม่ออก อย่ามัวนั่งท่าเดิมๆ ให้รากงอกอยู่เลย เพราะเมื่อเครียดแล้ว ยังฝืนนั่งอยู่อย่างนั้น ก็เหมือนกับยิ่งเติมความเครียดความทุกข์ให้มากขึ้นไปอีก แถมประสิทธิภาพงานที่ออกมา ก็อาจไม่ดีเท่าที่ควร

ลองเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายเบาๆ หรือออกไปเดินนอกออฟฟิศ ลองเดินเร็วๆ เพื่อเรียกเหงื่อเล็กน้อย แล้วพักหยุดมองต้นไม้ใบหญ้าสักหน่อย ทั้งนี้ร่างกายจะได้ผ่อนคลาย และมีออกซิเจน (Oxygen) เข้ามาบำรุงสมองมากขึ้นอีกหน่อย เมื่อกลับมาลุยงานใหม่ จะได้สมองปลอดโปร่งสดใสมากขึ้นไงล่ะ

วิธี 2 : เชิดใส่ชา-กาแฟ-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (caffeine) อย่าง ชา กาแฟ แม้จะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นตัวได้บ้าง แต่หากร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะเครียด การเติมคาเฟอีนเข้าไป กลับจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้คุณรู้สึกเครียด และกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ฉะนั้นเมื่อยามเกิดสภาวะเครียด แนะว่าให้เชิดใส่ เครื่องดื่มจำพวกชากาแฟไปก่อน จะได้ไม่เป็นการเติมเชื้อไฟ ให้ความเครียดยิ่งปะทุมากขึ้นไปอีก

เช่นเดียวกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcohol) บางท่านเมื่อเครียดจัดเรื่องงาน พอตกเย็นมักชวนกันมานั่งดริงก์ หวังให้ลืมความเครียดน่ะ ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะเลย เพราะการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ จะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง จนคุณเกิดความวิตกกังวลใจได้ง่ายขึ้น แทนที่จะหายเครียดกลับจะยิ่งหดหู่ซึมเศร้ายิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

วิธี 3 : รับประทานอาหารเปี่ยมโปรตีน

หลังบอกถึงสิ่งที่ควรเลี่ยงเมื่อยามเครียดไปแล้ว มาถึงอาหารที่ควรรับประทานเมื่อคุณรู้สึกว่าสภาพจิตใจย่ำแย่กันบ้าง แนะนำให้ทานอาหารจำพวกโปรตีน (protein) ค่ะ เพราะในโปรตีน จะมีกรดอะมิโนทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ อันจะช่วยบำรุงให้สมองรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดได้

ดังนั้นเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัว หรือเครียดจนจุดประกายความสร้างสรรค์ไม่ติด หันไปหยิบอาหารที่เปี่ยมไปด้วยโปรตีนมาทานเล่นสักหน่อย จะเป็นโยเกิร์ต (yogurt) สักถ้วย หรือถั่วสักหยิบมือ เคี้ยวเล่นตักเพลินกันสักเดี๋ยว ก็เพิ่มพลังสมองได้เพียบแล้วหล่ะ

วิธี 4 : จัดระเบียบความคิด เรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำ

หลายครั้งทีเดียวที่เรื่องราวของความวิตกกังวล และความเครียด มีสาเหตุมาจากการที่สมองคุณต้องจดจำเรื่องราวของงานมากมายไปหมด จนเกิดความกังวลใจ ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณควรทำเมื่อรู้สึกเครียด หรือกังวลใจมากๆ คือ ให้คุณหยุดนิ่ง แล้วคิดเรียบเรียงจัดสรร กระบวนการทำงานของตัวเองเสียใหม่

ค่อยๆ คิดว่ามีงานอะไรที่คุณต้องสะสางบ้าง สิ่งใดควรจะทำก่อน-หลัง อาจจดไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวกันลืม เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการจัดระเบียบความคิดแล้ว คุณอาจจะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องต่างๆ ที่คุณกังวลอยู่ มันก็ไม่ได้มากมายนี่นา ... แค่จัดการงานแต่ละส่วน ให้เสร็จสิ้นไปทีละเปราะ ก็เท่านั้นเอง

วิธี 5 : ย้อนรำลึกถึง ความสำเร็จที่ผ่านมา

ในบางช่วงเวลา คุณอาจจะรู้สึกแย่เกินกว่าที่จะคิดเรื่องราวต่างๆ ในแง่บวกได้ ..อาจเพราะเพิ่งโดนเจ้านายต่อว่ามา นาทีนี้จะคิดอะไรได้.. เลยมีแต่เครียดและหดหู่ นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ มองแต่ละเรื่องมันช่างเลวร้าย วุ่นวาย ชวนวิตกกังวลไปเสียทุกอย่าง

แนะนำให้คุณลองเขียนสิ่งดีๆ ที่คุณทำสำเร็จมาแล้วลงบนกระดาษสักแผ่น อาจเป็นความสำเร็จเมื่อสัปดาห์ก่อน เดือนก่อน หรือปีก่อน ก็ยังไหว เพราะบางครั้ง การได้ย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่คุณเคยทำสำเร็จมาแล้ว จะเป็นการรำลึกถึงความภาคภูมิใจที่จะช่วยเพิ่มเติมพลังชีวิต ดึงความคิดในแง่บวกให้คุณกลับมาเกิดความมั่นใจ สร้างสรรค์ความสำเร็จใหม่ๆ ได้อีกครั้ง

คิดเสียว่า ไม่มีใครไม่ผิดพลาด สิ่งดีๆ และความสำเร็จในอดีตเมื่อเคยเกิดขึ้นได้ก็สามารถกลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้เสมอ ขอเพียงแค่ไม่สิ้นหวัง หมดพลังใจไปเสียก่อน

วิธี 6 : สร้างแรงจูงใจ ด้วยผลตอบแทน

เมื่อนั่งทำงานคร่ำเคร่งกันมาเป็นแรมเดือนแรมปี มันคงต้องมีกันบ้าง บางช่วงอารมณ์ที่คุณรู้สึก เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ จนถึงขั้นเครียด ไม่อยากทำงาน หรือทำแบบขอไปที มิได้ใส่ใจกับเนื้อหา หรือคุณภาพงานเท่าไหร่ ..ขืนปล่อยความคิดเช่นนี้ไว้ไม่ดีแน่ เพราะมันยิ่งทำให้คุณเครียด แถมผลงานก็ยังตกต่ำจนอาจถึงขั้นไร้ประสิทธิภาพ!

แนวทางการสร้างพลังใจง่ายๆ คือ ให้คุณลองคิดถึงผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจากการทำงานดูสิ และไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงินนะคะ แต่อาจเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจ ผลที่เกียวข้องกับงานโดยภาพรวม เช่น หากคุณตั้งใจทำงานให้ออกมาดีที่สุด งานที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะออกมาเยี่ยมยอด สร้างชื่อเสียงให้กับคุณ และทีมงาน จนเกิดเป็นผลสำเร็จแสนภูมิใจ

ความคิดเช่นนี้นอกจากทำให้ช่วยสลัดทิ้งความเครียด และความน่าเบื่อหน่ายได้แล้ว พลังใจและความภาคภูมิใจที่เกิด..ยังช่วยทำให้คุณกลับมามุมานะ สร้างสรรค์งานที่เปี่ยมคุณภาพได้อีกต่างหาก



ที่มา :  ASTV ผู้จัดการออนไลน์  By Lady Manager เรียบเรียงจาก ไชน์

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการทำ "เบลอ" ใบหน้าให้กับคนในคลิปบน YouTube


  เช้านี้ทางเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอรายงานข่าวเกียวกับเครื่องมือใหม่ใน YouTube ที่่ช่วยให้คุณสามารถปกปิดใบหน้าของคนในคลิป เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว และป้องกันไม่ให้ใครจำได้ ด้วยทูลส์ทีมีชื่อว่า Blur All Faces หรือเครื่องมือช่วยทำให้หน้าของคนในคลิป"เบลอ" จนเห็นไม่ชัด (คล้ายเอายาหม่องไปทา :D) ซึ่งสามารถสั่งให้ YouTube จัดการได้ภายในคลิกเดียว

หลังจากขึ้นข่าวไปบนเว็บไซต์ก็ได้รับความสนใจจากผู้อ่านกันพอสมควร โดยมีผู้อ่านจำนวนหนึ่งได้สอบถามเข้ามายังกองบรรณาธิการ ซึ่งหนึ่งในคำถามยอดฮิตก็คือ แล้วขั้นตอนการใช้เครื่องมือดังกล่าวเป็นอย่างไร? ใช้ได้แล้วหรือยัง? คำตอบคือ YouTube เปิดให้สมาชิกใช้งานได้แล้ว โดยมีขั้นตอนการทำหน้า"เบลอ"โดยอัตโนมัติมีดังนี้

1. ล็อกอินบัญชีผู้ใช้ YouTube ของคุณ

2. คลิกลิงค์ชื่อผู้ใช้ (username) ที่อยู่บริเวณมุมบนขวา เลือกคำสั่ง Video Manager

3. คลิกปุ่ม Edit ของคลิปวิดีโอที่ต้องการใส่ "เบลอ" ให้กับหน้าคนในคลิป

4. เมื่อเข้าสู่หน้าแก้ไขวิดีโอให้คลิกเมนู Enhancements ที่อยู่ด้านบน

5. ในหน้าแก้ไขปรับปรุงวิดีโอจะเปิดคลิปเป็น 2 ช่องพร้อมกัน คือ คลิปต้นฉบับ (original) และพรีวิวคลิปที่ปรับแต่งแก้ไข (Quick Preview) สังเกตที่ด้านล่างของคลิป ให้คลิกปุ่ม Additional features

6. รายละเอียดของฟีเจอร์ Blur All Faces จะโผล่ขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม Apple ที่อยู่ด้านล่าง

7. สังเกตผลลัพธ์ของการทำเบลอหน้าคนในหน้าต่าง Quick Preview หากพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ คลิกปุ่ม Save As เป็นอันเรียบร้อย

ไม่ยากเกินไปนะครับ สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจวิธีทำ "เบลอ" ใบหน้าคนในคลิปโดยอัตโนมัติของ YouTube อ้อ..ลืมบอกไป YouTube จะมีตัวเลือกให้ลบคลิปต้นฉบับทิ้งให้ด้วยนะครับ เพื่อช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของคนในคลิปให้ปลอดภัยที่สุดในนั่นเอง


ที่มา  http://www.arip.co.th 

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

10 บัญญัติ ประหยัดน้ำมัน


           ท่านทราบหรือไม่ว่าการขับรถอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ท่านประหยัดและลดภาระค่าใช้ จ่ายในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังจะเป็นการรักษารถยนต์ให้มีอายุการใช้งานที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ด้วย สำหรับวิธีการใช้รถให้ประหยัดน้ำมัน มีดังนี้
ขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม.           ความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้
                • ทางธรรมดา 90 กม./ชม.
                • ทางด่วน 110 กม./ชม.
                • มอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม.

จอดรถไว้หน้าบ้าน โดยสารรถสาธารณะ           ถ้าผู้ใช้รถยนต์ร้อยละ 1 จากจำนวน 5 ล้านคัน หันมาใช้บริการรถสาธารณะ ด้วยระยะทาง 48 กม./วัน ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะประหยัดน้ำมัน 52 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 780 ล้านบาท

ไม่ขับก็ดับเครื่อง           การติดเครื่องยนต์จอดอยู่เฉยๆ เป็นเวลา 5 นาที สิ้นเปลืองน้ำมันโดยเปล่าประโยชน์ 500 ซีซี

ทางเดียวกันไปด้วยกัน           ถ้าขับรถยนต์ 5 คัน ไปทางเดียวกัน ที่หมายใกล้กัน ระยะทาง 48 กม./คัน (ไป-กลับ) ใน 1 ปี (260 วันทำงาน) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 5,200 ลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 78,000 บาท ถ้าร้อยละ 1 ของรถยนต์ 5 ล้านคัน ใช้ Car Pool สลับขับ 5 คน ต่อรถ 1 คัน ใน 1 ปี จะประหยัดน้ำมันได้ 41.6 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 624 ล้านบาท

หลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วน           ถ้ารถติดเพียงร้อยละ 1 ของ จำนวนรถยนต์ 5 ล้านคัน ในวันทำงานทุกวัน และในบางเสาร์-อาทิตย์ ใน 1 ปี (330 วัน/ปี) จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 12.4 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 186 ล้านบาท

ใช้โทรศัพท์-โทรสาร เลี่ยงรถติด           ใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง เช่น ส่งหนังสือระหว่างหน่วยงาน หากเร่งด่วนก็ใช้วิธีส่งทางโทรสาร หากเป็นเอกสารสำคัญก็ใช้วิธีรวบรวมเอกสารแล้วส่งพร้อมกัน หนังสือเวียนที่ไม่สำคัญก็ใช้วิธีส่ง E-Mail หรือส่งไปรษณีย์


วางแผนก่อนเดินทาง           ถ้าไม่ศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง และขับรถหลงทาง 10 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 500 ซีซี คิดเป็นค่าน้ำมัน 7.50 บาท ถ้ารถยนต์ 5 ล้านคัน ขับหลงทาง เฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 30 ล้านลิตร คิดเป็นค่าน้ำมัน 450 ล้านบาท

ลมยางต้อพอดี ไส้กรองต้องสะอาด           ความดันลมยางอ่อนกว่ามาตรฐาน 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ถ้าขับทุกวันเฉลี่ยวันละ 48 กม.ใน 1 เดือน
                • รถยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.4 ลิตร
                • รถจักรยานยนต์ - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ลิตร
                • รถบรรทุก - สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.2 ลิตร

           ถ้าร้อยละ 30 ของรถแต่ละประเภท ละเลยเช่นนี้บ่อยๆ รวมเป็น 30 วัน/ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 5.8 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 87 ล้านบาท ถ้าไส้กรองสะอาด จะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันวันละ 65 ซีซี   ควรทำความสะอาดทุก 2,500 กม. ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กม.


ไม่บรรทุกของเกินจำเป็น           หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็น ประมาณ 10 กิโลกรัม เป็นระยะทาง 25 กม. สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี ถ้าร้อยละ 10 ของรถยนต์ทั่วประเทศ 5 ล้านคัน ขับรถโดยบรรทุกสิ่งของที่ไม่จำเป็น ใน 1 ปี จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 7.3 ล้านลิตร คิดเป็นเงิน 10.95 ล้านบาท
ตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นประจำ          เปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นทุก 5,000 กม. ตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง และน้ำในแบตเตอรี่ ตรวจสอบระดับน้ำป้อนหม้อน้ำ ปรับปรุงสมรรถนะรถยนต์ให้ดีตลอดเวลา ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ ร้อยละ 3-9

ขอขอบคุณข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน


คัดลอกจาก วิชาการ.คอม

เลือกภาชนะใส่อาหารอย่างไรให้ปลอดภัย?




ปัจจุบันภาชนะบรรจุอาหารเป็นส่วนสําคัญอย่างหนึ่งในชีวิตประจําวันสําหรับคนเรา เนื่องจากการบริโภคอาหารทุกมื้อต้องใช้ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ภาชนะบรรจุอาหารที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ จาน ชาม ทั้งที่เป็นแก้ว เซรามิก และพลาสติก เป็นต้น อนึ่งภาชนะบรรจุอาหารแต่ละชนิดจะมีสมบัติและส่วนประกอบของสารต่างๆ แตกต่างกัน ดังนั้น การใช้ภาชนะบรรจุอาหารจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานและประเภทของอาหาร เพราะการใช้ภาชนะบรรจุอาหารผิดประเภทอาจนําภัยอันตรายอันเนื่องมาจากสารพิษ เจือปนจากภาชนะได้ ซึ่งหากมีการสะสมเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ ภาชนะบรรจุอาหารที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีหลายประเภท ซึ่งมีหลักในการเลือกใช้เพื่อลดอันตรายอันอาจเกิดจากการใช้ภาชนะบรรจุอาหาร ดังนี้




อะลูมิเนียม            ชาวบ้านส่วนใหญ่มักนิยมใช้ภาชนะที่ทำจากอะลูมิเนียม เนื่องจากคงทนและราคาถูก แต่มีคำเตือนจากนักวิจัยว่าหากนำอะลูมิเนียมไปใช้กับของเปรี้ยว หรือของที่มีความเป็นกรดสูง เช่น แกงส้มในหม้ออะลูมิเนียม อาจมีอะลูมิเนียมละลายออกมาปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งหากได้รับสารอะลูมิเนียมเข้าไปจำนวนมาก เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลการวิจัยที่แย้งว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียง เล็กน้อย ไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่หากไม่อยากเสี่ยง ก็อาจจะเลี่ยงการใช้อะลูมิเนียมกับอาหารรสเปรี้ยวหรืออาหารที่มีความเป็นกรด

สเตนเลส            ภาชนะที่ทำจากสเตนเลสเป็นภาชนะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กัน เนื่องจากทนทานต่อการกัดกร่อน ไม่เป็นสนิม ทนความร้อน ความเย็น และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ดี สเตนเลสเป็นเหล็กที่มีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด หากเป็นสเตนเลสที่มีส่วนผสมของโครเมียม เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล็กและโครเมียมปะปนในอาหารเล็กน้อย ถือเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายจึงไม่เป็นอันตราย แต่ หากเป็นสเตนเลสที่มีส่วนผสมของนิกเกิล อาจทำให้ผู้ที่แพ้นิกเกิลเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม นิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น น้ำส้มสายชู ผู้ที่แพ้นิกเกิลอาจเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมล ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

ทองแดง            ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง หากนำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่หากร่างกายสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ จึงมีการนำภาชนะทองแดงมาเคลือบด้วยดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนานๆ ก็ควรจะเปลี่ยนใหม่


ทองเหลือง            ทองเหลืองเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี มีความต้านทานต่อการเกิดสนิมได้ดีพอสมควร นิยมทำขนมในกระทะทองเหลือง เช่น ผลไม้กวน เพราะมักจะไม่ติดกระทะ และไม่ทำให้สีของอาหารเปลี่ยนไป

เซรามิก            ภาชนะเซรามิกที่เคลือบด้วยสีสันลวดลายสวยงาม อาจมีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีปริมาณมากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อนำไปใส่อาหารร้อนจัด เช่น กาแฟร้อน ชาร้อน และอาหารรสเปรี้ยวหรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำผลไม้ เพราะจะทำให้สารตะกั่วในสีละลายออกมาปนเปื้อนในอาหารได้

แก้ว            ภาชนะที่ทำจากแก้ว ส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัย ยกเว้นแก้วเนื้อบาง ไม่ควรใส่น้ำเดือดหรือนำเข้าเตาไมโครเวฟ เพราะอาจแตกได้ แต่หากเป็นแก้วคุณภาพดีก็จัดว่าเป็นภาชนะที่ใช้กับเตาไมโครเวฟได้อย่าง ปลอดภัยที่สุด ถ้าเป็นแก้วที่มีฝาปิดก็สามารถทนต่อความดันที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับความร้อน โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ต้องไม่ตกแต่งขอบ หรือลวดลายด้วยสีทองหรือเงิน เพราะจะมีสารตะกั่วออกมาปนเปื้อนกับอาหารได้ นอกจากนี้ ภาชนะที่ทำจากแก้วยังเหมาะสำหรับการเก็บอาหารที่รับประทานไม่หมดอีกด้วย


เมลามีน            เมลามีนผลิตจากอะมิโนเรซินที่เป็นโพลีเมอร์ของเมลามีนกับฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งหากนำไปใช้ไม่ถูกต้อง เช่น ใส่อาหารร้อนจัด น้ำเดือด หรือนำไปใช้กับเตาไมโครเวฟ อาจทำให้ได้รับอันตรายจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้ สำหรับภาชนะเมลามีนที่ซื้อมาใหม่ ควรล้างด้วยน้ำเดือดก่อนการใช้งาน เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกและฟอร์มาลดีไฮด์บางส่วนออกไป ไม่ควรใช้ใยสังเคราะห์ เช่น ฝอยเหล็กหรือสก็อตไบรท์มาขัดถู เพราะจะทำให้สารที่เคลือบผิวเมลามีนหลุดออก ทำให้มีริ้วรอย สีและโลหะหนักจะออกมาปนเปื้อนในอาหารได้ นอกจากนี้ รอยขูดขีดที่เกิดขึ้นอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้อีกด้วย

พลาสติก            หากการผลิตไม่คัดเลือกเม็ดพลาสติกที่มีคุณภาพและไม่ควบคุมวิธีการผลิตให้ดี แล้ว พลาสติกซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่เรียกว่า โพลีเมอร์ จะแตกตัวเป็นโมโนเมอร์ ละลายออกมาปนในอาหารได้ หากเป็นพลาสติกที่ผสมสี ตะกั่วและสารพิษในสีก็จะออกมาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิตยังมีการใช้สารเคมีหลายชนิด ซึ่งอาจตกค้างอยู่บริเวณผิวหน้าพลาสติก หากสัมผัสถูกอาหารก็กลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ ดังนั้น จึงต้องควบคุมคุณภาพภาชนะพลาสติกไม่ให้มีปริมาณโมโนเมอร์ สี และสารเคมีต่างๆ เกินกว่าที่กำหนด นอกจากนี้ พลาสติกจะมีหลายเกรดซึ่งผลิตมาสำหรับการใช้งานเฉพาะอย่าง จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสม

  • อย่าใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารร้อนจัด อาหารที่มีรสเปรี้ยวหรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด
  • ขวดพลาสติกใสที่บรรจุน้ำดื่มขาย ควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ควรนำมากรอกน้ำดื่มใส่ตู้เย็น หากจะกรอกน้ำแช่ตู้เย็นควรเลือกขวดพลาสติกที่ผลิตมาโดยเฉพาะหรือขวดแก้วจะดีกว่า
  • ขวดพลาสติกใสที่บรรจุน้ำมันพืช น้ำปลา ซอส น้ำดื่ม อย่าเก็บในที่ร้อน เนื่องจากจะเร่งให้สารเคมีละลายออกมา
  • การล้างภาชนะพลาสติกควรระวังอย่าให้ขูดขีดเป็นรอยถลอก จะทำให้สารเคมีละลายออกมามากขึ้น

ภาชนะกับเตาไมโครเวฟ            การเลือกใช้ภาชนะบรรจุอาหารกับเตาไมโครเวฟ ควรเป็นภาชนะที่ไม่ดูดกลืนคลื่นไมโครเวฟและสามารถทนต่อความร้อนและการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดี ภาชนะที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ ภาชนะแก้ว หรือ แก้ว-เซรามิก รองลงมาคือ ภาชนะเซรามิกและภาชนะพลาสติก ตามลำดับ การเลือกใช้ภาชนะสำหรับเตาไมโครเวฟนั้นปัจจัยที่ควรพิจารณาอีกประการคือ ประเภทของการประกอบอาหารและอุณหภูมิที่ต้องใช้ ถ้าการประกอบอาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงก็ควรหลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติกที่ทน ความร้อนไม่สูง

            ที่สำคัญสุดในการเลือกภาชนะบรรจุอาหารควรคือ ต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีตรา หรือเครื่องหมายการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่า สินค้าเหล่านั้นได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพว่าได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก My firstbra


คัดลอกจาก วิชาการ.คอม 

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำตาไหลจิงๆๆ เรื่องดีๆ กับในหลวงของเรา



วันนี้มีเรื่องเล่าให้หายเครียดกับบรรยากาศบ้านเมือง แต่คนทำให้หายเครียดกลับไม่ใช่คนไทย กลายเป็นคนต่างชาติไปซะนี่...แปลก ซึ้ง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง...ถ้ามีฝีมือในการถ่ายทอดพอคงได้เห็นน้ำตาซึมออกมา เพราะความปีติอีกครั้ง...ตามมาครับ

เมื่อวันก่อน พอดีมีโอกาสต้อนรับนักธุรกิจชาวอังกฤษหนึ่งท่าน ที่มาตามงานที่เขาสั่งผลิตเอาไว้.. ตามภาษาคนทำธุรกิจเลยต้องรับขับสู้ให้ดี ที่สุดเพื่อโชว์ความเป็นคนไทยที่มีน้ำใจ.... เรื่องมันเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร มื้อค่ำครับ....เราก็ทานกันไปตามปรกติมาอีตอนท้ายๆการสนทนาครับ...จำได้ว่า เราคุยกันเรื่องการลงทุนนี่แหละครับ...อยู่ดีๆฝรั่งตาน้ำข้าวก็พูดขึ้นมาว่า... 
"คุณรู้ไหมทำไมคนต่างชาติหลายๆประเทศทำไมตัดสินใจมาลงทุนที่เมืองไทย ".. เราก็ตอบไปตามสไตล์คนอยากรู้ว่า ...ไม่รู้ เข้าทางฝรั่งเลยครับ เขาพูดขึ้นมาว่า "ส่วนมากแล้วจะประเมินกันว่าแรงงานประเภทงานฝีมือคนไทยมีศักยภาพสูงสุดในแถบ เอเซีย สูงกว่าญี่ปุ่นเสียอีก ตอนนี้จะพอมีใช้ได้ก็เวียดนาม แต่ไม่กระตือรือล้นเท่าที่ควรจึงยังห่าง".... แต่นั้นไม่ใช่เหตุผลหลักนะครับ เพราะสิ่งที่นักธุรกิจคนนี้พูดต่ออกมาคือ..... "แต่ปัจจัยหลักที่พวกเขา ตัดสินใจมาลงทุนที่เมืองไทยเป็นเพราะ "ในหลวงฯ" เริ่มอึ้งไปชั่วขณะเพราะงง..จึงถามกลับไปว่าทำไมจึงเป็นเพราะ ในหลวงฯ... มาฟังคำตอบชัดๆเลยครับ..

"ก็เพราะประเทศคุณมี king of king...(แปลไม่ถูกเพราะหัวใจมันพองโตขึ้น มาในทันใด)... พวกเราเป็นที่รู้กัน มาตลอดว่าประเทศไทย ไม่ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายแค่ไหน มันจะผ่านไปได้ทุกครั้ง แม้นกระทั่งความรุนแรงหรือความแตกแยกทางความคิดใดๆ หากเกิดขึ้น... เพียงในหลวงฯของคุณบอกให้ จบทุกอย่างจะจบ ด้วยความสงบสันติ"... แล้วผมก็ถามกลับไปว่าตอนนี้เรายังมีปัญหาอยู่เลย..เขา ตอบกลับทันทีว่า 
"เรื่องการจราจลเผาเมืองที่ผ่านมาเขาตามข่าวมาตลอดด้วยความเป็นห่วง แต่ที่แปลกใจก็คือครั้งนี้ในหลวงไม่ออกมา แต่นั้นทำให้เขารู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องความ"แตกแยก"แต่เป็นเรื่อง"การเมือง" ในหลวงฯจึงไม่เข้ามายุ่งเกี่่ยว".........จบตอนนี้ผมอึ้ง ทึ่ง สมองสั่งการให้เห็นแสงสว่างขึ้นมาทันทีว่า..จริงด้วยเราหลงทางหรือเปล่าที่คิดว่าเราแตกความสามัคคี จริงๆแล้วเป็นเรื่องการเมือง ของคนเลวๆกลุ่มหนึ่งเท่านั้น....คิดได้เท่านั้นทุกอย่างก็หยุดลง เพราะคำว่า"ในหลวง"ที่มีคุณูปการมากมายที่มีต่อ คนไทยจน คนไทยอย่างเราเองคาดไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าคนต่างชาติมาลงทุนบ้านเราเพราะพระบารมีของพระองค์...ผมกับคุณ พ่อเริ่มออกอาการ
ซึมเพราะมันรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเวลานั้น..... ทุกอย่างแห่งความซาบซึ้งน่าจะจบลงตรงนั้น แต่แล้ว..น้ำตามันซึมออกมาเองอีก ครั้ง...เมื่อตอนคนมาเก็บเงินค่าอาหาร...
ในตอนที่เอาเงินส่งให้พนักงาน...ฝรั่งคนเดิมพูดขึ้นมาอีกว่า....
"คน ไทยนี่โชคดีจริงๆนะ จะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร มีในหลวงฯคอยติดตามเฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา"....ผมกับพ่อหันไปมอง คราวนี้พ่อผมถามเองเลยว่า..คุณรู้ได้อย่างไร เขาตอบกลับทันทีเลยว่า...."ก็ผมเห็นธนบัตรไทยมีรูปในหลวงฯของพวกคุณอยู่ ทุกๆใบแม้นกระทั่งในเหรียญที่มีค่าน้อยที่สุดถึงมีค่ามากที่สุดในธนบัตร เห็นเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว ดังนั้นเวลาคนไทยไปไหน ในหลวงฯจะอยู่กับคนไทยตลอดเวลา ไม่เคยห่างกัน ผมยังสงสัยเลยว่า ทำไมรัฐบาลคุณไม่พิมพ์คำว่า.. "เรารักในหลวง" ลงไปในธนบัตร.."..ทั้งผมทั้งพ่อน้ำตากลั้นไม่ไหวจริงๆครับ มันซึมออกมาแบบไม่อายเลย น้ำลายมันก็กลืนไม่เข้าเวลานั้น....."เท่ห์" มากครับที่เกิดเป็นคนไทย หัวใจมันพองโต จนรู้สึกว่าตายกี่ชาติต่อกี่ชาติ ขอให้ได้เกิดเป็นคนไทยทีเถิด....ส่งแขกเสร็จกลับบ้านกับพ่อสอง คน..ตลอดทางไม่พูดกันซักคำ ต่างคนต่างเงียบ ผมก็ได้แต่นั่งคิดถึงคำพูดไอ้ฝรั่งคนนี้มาตลอดทาง มันเป็นความสุขที่ได้รับแบบคาดไม่ถึงจริงๆครับ ....พอถึงบ้านจอดรถให้พ่อลงที่หน้าบ้านเห็นแม่มายืนรออยู่...พอพ่อลงรถคำแรก ที่พ่อพุดกับแม่คืด..ถามลูกมันดูซิว่า แกรรี่เค้าพูดถึงในหลวงว่ายังงัย.....จบครับ เป็นอันว่าตลอดทางที่กลับบ้านพ่อผมคิดถึงแต่เรื่องในหลวงฯแน่นอน.....
เรื่อง ทั้งหมดที่เล่าคงอธิบายความรู้สึกที่อยากจะถ่ายทอดทั้ งหมดไม่ได้ แต่อยากแบ่งปันครับ.... แบ่งปันให้พวกเราเก็บเรื่องดีๆนี่ไว้ในความทรงจำ เพื่อแบ่งปันกันต่อจากรุ่นสู่รุ่น...ไม่น่าเชื่อนะครับว่า คนอื่นมองเห็นเราชัดเจนกว่าตัวเราที่เป็นคนไทยซะอีก...คำว่า เป็นเรื่อง"การเมือง" ไม่ใช่เรื่องความ"แตกแยก"....อาจเป็นคำตอบให้คนไทยกลับมาคิดทบทวนกันอีก ครั้งว่า..เราแตกแยกกันจริงหรือ..เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่ สุด จนคนทั้งโลกยังอิจฉาแต่เราบางคนกลับมองไม่เห็น......เพิ่งรู้ และสัมผัสกับคำว่า หัวใจพองโต...มันคับฟ้าคับแผ่นดิน..จริงๆนะครับ..ที่สำคัญคือ..การที่รู้สึกแบบนี้ได้เป็นเพราะ..ผมเป็นคนไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ที่ประเสริฐที่สุดเป็น "พ่อของแผ่นดิน"..พระองค์ฯต้องอยู่เป็นมิ่งขวัญให้คนไทยทั้งแผ่นดินตลอดไป ....จริงไหมครับ..????

credit ทุกpageที่รักในหลวง



เรื่องราวนี้โพสผ่านFacebook ผมขอขอบคุณสำหรับเจ้าของโพสครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

การซ่อมแซมบ้าน (หลังน้ำท่วม)

รอบบ้านมีน้ำท่วมจะทำอย่างไร

ในกรณีที่บริเวณรอบบ้านต่ำกว่าถนนสาธารณะ ซึ่งเพิ่มความสูงมาทีหลัง ทำให้บ้านต่ำ มาก มีวิธีแก้ปัญหาดังนี้ การแก้ปัญหาก็คือ ทางเข้าหน้าบ้านทำความลาดเป็นลักษณะหลังเต่า เพื่อป้องกันน้ำจากถนนไม่ให้เข้าบริเวณบ้าน และต้องทำขอบคันดินรอบบ้านหรือทำรั้วด้านล่างให้ทึบ เพื่อป้องกันน้ำ พร้อมทั้งทำท่อระบายน้ำรอบบ้าน โดยมีบ่อพักรวม เพื่อปั๊มน้ำออกนอกบ้านเมื่อเวลาจำเป็น อีกวิธีถ้ามีเงินพอ ก็ควรถมที่ให้สูงกว่าระดับถนนสาธารณะเลย ก็จะแก้ปัญหาได้ถาวร

การยกบ้านเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม

ถ้าน้ำท่วมมากๆ จะยกบ้านให้หนีปัญหาน้ำท่วมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีสิ่งต่างๆ ที่ต้องระวัง อย่างมาก ถ้าเป็นบ้านที่มีโครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้ ก็พอที่จะเป็นไปได้ เพราะมีน้ำหนักเบา แล้วการยึดส่วนต่างๆ ก็ยังยืดหยุ่นได้มากกว่า ถ้าเป็นบ้านที่มีโครงสร้างเป็นปูน ส่วนต่างๆ จะยึดติดกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งเมื่อบิดเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดการแตกร้าวได้ ทั้งยังมีน้ำหนักมากด้วย และบ้านปูนยังมีเสาเข็มที่หล่อติดกับตัวฐานราก จะต้องตัดออกแล้วเสริมฐานรากใหม่ ซึ่งทำได้ยากมาก

นอกจากโครงสร้างแล้ว ยังมีงานระบบต่างๆ ที่ติดกับพื้นดิน เช่น ท่อประปา ท่อไฟฟ้า ส่วนต่างๆ เหล่านี้ต้องตัดออก แล้วเชื่อมใหม่ทั้งสิ้น ค่อนข้างยุ่งยาก ถ้าผู้รับเหมาไม่มีความชำนาญพอ ก็จะเสี่ยงมาก อาจจะเสียบ้านไปทั้งหลัง ค่าใช้จ่ายเหมือนสร้างใหม่เลย

สาเหตุที่น้ำซึมขึ้นมาบนพื้นเวลาน้ำท่วม
ถ้าเวลาน้ำท่วมบ้าน เกิดน้ำซึมขึ้นมาบนพื้นห้อง อาจจะเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
1.โครงสร้างพื้นแตกร้าวอยู่เดิมแล้ว หรืออาจจะเกิดจากแรงดันน้ำก็ได้ แก้ไขโดยสกัดออกให้ร่อง แล้วใช้กาวคอนกรีตอุดให้เรียบร้อย แล้วจึงปิดด้วยวัสดุปูพื้นให้เหมือนเดิม
2. เนื่องจากพื้นเป็นพื้นสำเร็จรูป หรือระบบพื้นที่วางอยู่บนดิน ไม่ได้ต่อยึดกับคาน ถ้ามีรอยซึมสามารถใช้ซิลิโคนอุดรอยรั่วได้
3. เกิดจากรูที่บริษัทกำจัดปลวกเจาะทิ้งไว้ วิธีแก้ไข เมื่อเจอรูแล้วก็อุดเสียให้เรียบร้อยด้วยไม้ และอุดทับด้วยซิลิโคน



การซ่อมแซมพื้นบ้านหลังน้ำท่วม

หลังน้ำท่วมถ้าพื้นไม่เสียหาย ก็ทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้ได้ แต่ถ้าเสียหาย มีวิธีแก้ไข คือ
-พื้นไม้ปาร์เก้ จะหลุดล่อนง่ายเมื่อโดนน้ำท่วม เพราะติดกับพื้นคอนกรีตด้วยกาว วิธีแก้ก็คือ ถ้าแผ่นปาร์เก้ไม่เสียหายมากก็ผึ่งลมให้แห้งก่อน รวมถึงพื้นคอนกรีตด้วย แล้วจึงทาด้วยกาวลาเท็กซ์ หนา 1-2 มิลลิเมตร ค่อยๆ กดลงไปที่เดิมให้แน่น ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 วันจึงใช้งานได้ ถ้าเสียหายมากจะเปลี่ยนใหม่ต้องใช้ไม้ชนิดเดียวกับของเดิม
-พื้นพรมต้องลอกออก แล้วนำไปซักและตากแดดให้แห้งสนิท แล้วจึงนำกลับมาปูใหม่ โดยพื้นคอนกรีตต้องแห้งก่อนเช่นเดียวกัน



การซ่อมแซมผนังบ้านหลังน้ำท่วม

วัสดุต่างๆ ที่ใช้ทำผนังบ้าน เมื่อเวลาถูกน้ำท่วมนานๆ ก็จะเกิดความเสียหายแน่นอน มี วิธีแก้ไข คือ
1. ถ้าเป็นผนังไม้ เช็ดทำความสะอาด เพื่อให้ผิวสามารถระเหยความชื้นได้ง่าย เมื่อแห้ง ดีแล้วใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้ชะโลมที่ผิว หรือทาสีต่อไป วิธีที่ดีควรทาสีด้านในบ้านก่อน ทิ้งไว้ 5-6 เดือน จึงทาสีด้านนอก
2. ถ้าเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูน ก็ใช้วิธีเดียวกับผนังไม้ แต่ต้องทิ้งให้ระเหยความชื้นนานกว่า ผนังไม้ เพราะมีความหนามากกว่า
3. ถ้าเป็นผนังยิบซั่มบอร์ด ก็เลาะเอาแผ่นที่เสียออก ถ้าโครงเคร่าเป็นโลหะก็สามารถติดแผ่นใหม่ได้เลย แต่ถ้าโครงเคร่าเป็นไม้ ต้องทิ้งไว้ให้ความชื้นในไม้ระเหยหมดก่อน จึงจะติดแผ่น ใหม่ได้
การซ่อมวอลล์เปเปอร์หลังน้ำท่วม

เมื่อน้ำท่วมบ้านที่มีผนังบุด้วย วอลล์เปเปอร์ มีวิธีแก้ไขและซ่อมแซม ดังนี้ วอลล์เปเปอร์จะมีลักษณะคล้ายสี ถ้าโดนความชื้นมากๆ จะลอกหรือร่อน การแก้ไขก็โดยการลอกออกให้หมด เพื่อให้ผนังที่ชื้นสามารถระเหยออกมาได้ โดยรอให้ผนังแห้งจริงๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วจึงปิด วอลล์เปเปอร์ทับลงไป อาจจะปิดเองถ้าทำได้ หรือตามช่างมา ก็ได้ ถ้าส่วนไหนขึ้นราหรือเป็นคราบเช็ดไม่ออก ก็สามารถเปลี่ยนแผ่นใหม่ โดยเลือกให้มีลวดลายเหมือนเดิม ก็จะได้ผนังสวยงามเหมือนก่อนน้ำท่วม

การซ่อมแซมฝ้าเพดานบ้านหลังน้ำท่วม


การซ่อมแซมฝ้าเพดาน จะมีลักษณะคล้ายๆ การซ่อมผนังและพื้นปนกัน มีวิธีการแก้ไขคือ ถ้าเป็นฝ้าเพดานยิปซั่มบอร์ด หรือกระดาษอัด ถ้าเปื่อยยุ่ยมากเพราะอมน้ำ ก็ควรเลาะ ออกแล้วจึงเปลี่ยนแผ่นใหม่เลย ทิ้งไว้ให้ทั้งหมดแห้งสนิทจริงๆ แล้วจึงทาสีทับ
- ถ้าเป็นฝ้าโลหะ ให้เช็ดทำความสะอาดให้แห้ง ถ้าเป็นสนิม ก็ใช้กระดาษทรายขัดออกให้เรียบร้อย แล้วจึงทาสีทับเข้าไปใหม่
- ระบบสายไฟส่วนใหญ่ จะเดินในฝ้าเวลาเปิดฝ้าเข้าไปต้องตรวจดูว่าความเรียบร้อยว่า มีส่วนใดชำรุดหรือเปล่าด้วย
- ถ้าโครงฝ้าเพดานที่เป็นไม้ เกิดการแอ่นหรือทรุดตัว ต้องแก้ไขให้ได้ระดับก่อนการติดตั้งแผ่นฝ้าใหม่

การซ่อมแซมประตู หลังน้ำท่วม
ประตูต่างๆ เมื่อถูกน้ำแช่อยู่นานๆ ก็จะบวมขึ้น หรือไม่ก็จะเกิดเป็นสนิม มีวิธีแก้ไขคือ
1. ประตูไม้ เมื่อโดนแช่น้ำก็จะบวมและผุพัง มีวิธีแก้ก็โดยทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วซ่อมแซมส่วนที่ผุให้เรียบร้อยแล้วจึงทาสีใหม่ แต่ถ้าผุมาก ก็ควรจะเปลี่ยนเลย
2.ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม ก็ใช้กระดาษทรายขัดสนิมออกให้หมด เช็ดให้สะอาดแล้วจึงทาสีใหม่ โดยอย่าลืมทาสีกันสนิมก่อน แต่อย่าลืมดูรอยต่อต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นท่อโครงเหล็กว่า มีน้ำหลงเหลืออยู่เหลือเปล่า ต้องให้แห้งจริงๆ ก่อนจึงจะทาสีได้

การซ่อมแซม บานพับ ลูกบิด และรูกุญแจหลังน้ำท่วม

อุปกรณ์ต่างๆ เช่น บานพับ ลูกบิด และรูกุญแจ ทำด้วยโลหะ เมื่อโดนน้ำท่วมย่อมมี ปัญหาตามมา มีวิธีแก้ไข คือ
- เช็ดให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมด ใช้พวกน้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อและรูต่างๆ ให้ทั่ว
- อย่าใช้จาระบี หรือพวกขี้ผึ้งทา เพราะจะทำให้ค
วามชื้นระเหยออกไม่ได้ จะทำให้ฝังอยู่ข้างใน และจะเป็นปัญหาในภายหลัง
- ถ้ายังใช้การไม่ได้ ก็ลองทำตามวิธีที่ว่านี้หลายๆ ครั้ง ถ้ายังมีปัญหา ก็ควรจะต้องถอดออก แล้วซื้อมาเปลี่ยนใหม่

การทาสีบ้านหลังน้ำท่วม

การทาสีบ้านหลังน้ำท่วม ควรจะทำเป็นสิ่งสุดท้าย ควรที่จะซ่อมแซมส่วนอื่นๆ เสียก่อน ปล่อยให้แห้งสนิทก่อน แล้วจึงทำการแก้ไข เพราะสีทุกชนิดที่ใช้ทาบ้าน เมื่อโดนน้ำท่วมนานๆ ก็จะเกิดการลอกและล่อนออกมาได้ เนื่องจากความชื้นของน้ำ วิธีแก้ไขคือ ต้องขูดสีเดิมที่ลอกและล่อนออก ทำความสะอาดผนังให้เรียบร้อย ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท ถ้าทำได้ควรจะเป็น 3-6 เดือนเลยยิ่งดี เมื่อแห้งแล้วจึงทาสีรองพื้นชนิดกันเชื้อรา แล้วจึงทาทับด้วยสีจริงอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง

การตรวจสอบระบบประปาหลังน้ำท่วม

หลังน้ำท่วมระบบที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามไปก็คือ ระบบประปาภายในบ้าน มีสิ่ง ที่ควรตรวจสอบ ดังนี้
- ถังเก็บน้ำใต้ดิน ต้องตรวจดูว่าน้ำท่วมถึงหรือเปล่า ถ้าท่วมควรล้างภายในถังทั้ง หมด เพราะน้ำที่ท่วมไม่สะอาดเท่าน้ำประปา
- ถ้ามีปั๊มน้ำต้องตรวจดูว่าเครื่องทำงานผิดปกติหรือเปล่า แรงดันน้ำลดหรือไม่ ถัง อัดลมเก็บแรงอัดไว้ได้นานหรือเปล่า แต่ถ้าน้ำท่วมปั๊ม ต้องรอให้แห้งเสียก่อน อย่าใช้งานทันที ถ้ามีปัญหาควรตามช่างมาแก้ไขจะดีกว่า เพราะอาจจะทำให้ไฟไหม้ได้

ปัญหาต่างๆ ของส้วมหลังน้ำท่วม


ปัญหาต่างๆ ของบ้านหลังน้ำท่วมจะมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับส้วมมีในระหว่างน้ำท่วม เราคงปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด แต่เมื่อน้ำลดแล้ว เราต้องตรวจสอบดังนี้
1. เปิดคัตเอ๊าต์ให้ไฟเข้าระบบ ถ้าส่วนใดยังชื้นอยู่คัตเอ๊าต์จะตัดและฟิวส์จะขาดทิ้งไว้ประมาณ 1 >วัน เปลี่ยนฟิวส์ แล้วลองเปิดใหม่ ถ้ายังตัดอีก คงต้องตามช่างไฟฟ้ามาตรวจดู
2. เมื่อไฟไม่ตัดแล้วลองเปิดไฟดูทุกดวง แล้วใช้ไขควงชนิดตรวจกระแสไฟโดยเฉพาะ
3. ดับไฟทุกจุดและถอดเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปลั๊กออกทั้งหมด แล้วตรวจดูที่มิเตอร์ไฟฟ้าว่าตัวเลขยังเดินอยู่หรือเปล่า ถ้าเดินแสดงว่าระบบไฟฟ้าในบ้านรั่ว ควรตามช่างไฟฟ้ามาเช็คดู

วิธีเตรียมระบบไฟฟ้าสำหรับบ้านที่น้ำท่วม

ระบบไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีอันตรายมาก สำหรับบ้านที่น้ำท่วมเป็นประจำ ควรเตรียมระบบไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
- ตัดระบบไฟฟ้าของปลั๊กเดิมทิ้ง ย้ายให้สูงขึ้นมาจากระดับพื้นประมาณ 1 เมตร เพื่อให้พ้นระดับน้ำ ส่วนชั้นบนของบ้านสองชั้นไม่จำเป็นต้องย้าย เพราะระดับน้ำท่วมไม่ถึง
- แยกระบบไฟฟ้าในส่วนที่น้ำท่วมบ่อยๆ ออกเป็นอีกวงจรหนึ่ง เพื่อสะดวกในการปิด- เปิดโดยเฉพาะ ส่วนปลั๊กที่อยู่ชั้นล่าง
ถ้าท่านรู้ตัวว่าบ้านของท่านอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมบ่อย เวลาออกแบบ้านก็ควรให้วิศวกรแยกระบบไฟฟ้าตั้งแต่แรก ก็จะประหยัดงบประมาณได้มาก และจะสวยงามกว่าที่จะมารื้อและแก้ ไขในภายหลัง

วิธีจะใช้เครื่องไฟฟ้าหลังโดนน้ำท่วม


เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จะมีมอเตอร์และเครื่องจักรกลต่างๆ เมื่อโดนน้ำเข้าไปแล้วจะมี ความชื้นอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายมาก มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
- ก่อนอื่นต้องทิ้งเอาไว้ให้แห้งสนิทจริงๆ บางส่วนถึงถอดออกได้ ก็ควรเปิดออกมาตากลมให้แห้งก่อน
- เมื่อแน่ใจว่าแห้งแล้ว ก็ลองเปิดเครื่องดู ถ้ามีความผิดปกติก็ควรดับเครื่องทันที
- และสำหรับที่คัตเอ๊าต์ไฟฟ้า ควรมีฟิวส์ไว้เมื่อเกิดการลัดวงจรไฟฟ้าจะได้ถูกตัดออก
- ถ้ามีปัญหาจริงๆ ก็ควรนำไปให้ช่างแก้ไขดีกว่าจะทำเอง

การซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์หลังน้ำท่วม


การซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ก็คล้ายๆ กับการซ่อมแซมพวกประตู หน้าต่าง พื้น หรือฝ้า เพดาน มีวิธีดังนี้
- พยายามเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ให้มากที่สุด
- พวกประเภทที่บุด้วยนุ่นหรือฟองน้ำ ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนเลย เพราะน้ำจะพาเอาเชื้อโรคมาติดอยู่ ถึงจะตากแดดให้แห้ง เชื้อโรคก็ยังมีอยู่
- เฟอร์นิเจอร์ที่ติดกับที่ที่เรียกว่า Built in ต้องตรวจสอบ
ความแข็งแรงของโครงสร้าง และสายไฟที่ฝังอยู่ในตู้ รวมถึงทำความสะอาดรูกุญแจและลูกบิด
- ส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม่ควรนำไปตากแดด เพราะจะทำให้บิดงอได้ และถ้าจะทาสีใหม่ ควรรอให้แห้งสนิทก่อน มิฉะนั้นจะลอกได้

วิธีช่วยต้นไม้ทีโดนน้ำท่วม


ถ้าบ้านของท่าน น้ำท่วมนานๆ ต้นไม้กำลังจะตาย มีวิธีช่วยให้อยู่รอดได้ ดังนี้
1. อย่าให้ปุ๋ย เพราะน้ำท่วมทำให้รากอ่อนแอ ต้องการเวลาพักฟื้น
2. ขุดหลุมกว้างประมาณ 50 ซม.-1 เมตรไว้ข้างๆ ต้นไม้ เพื่อให้น้ำที่ขังอยู่บริเวณรากไหลมารวมกัน แล้วเอาเครื่องดูดน้ำออกไป หรือจะใช้วิธีตักออกก็ได้
3. ถ้ารากต้นไม้ไม่แข็งแรง อย่าอัดดินลงไป จะทำให้ต้นไม้ตาย ควรใช้ไม้ค้ำยันลำต้นไว้ เมื่อรากแข็งแรงแล้ว จึงเอาไม้ค้ำออก

การซ่อมแซมรั้วบ้านหลังน้ำท่วม


เมื่อน้ำท่วมอยู่นานๆ รั้วบ้านก็จะมีปัญหาเช่นกัน มีวิธีซ่อม คือ
- ลองเล็งด้วยสายตา ถ้าเอียงเล็กน้อยก็นำไม้มาค้ำยันไว้ก่อน ถ้าเอียงมากก็ควร ตามช่างมาซ่อม
- ส่วนใหญ่ข้างล่างของรั้วจะมีคานคอดินอยู่ บางครั้งน้ำจะพัดเอาดินใต้คานนี้หายไปเป็นโพรง ต้องรีบนำดินมาถมให้แข็งแรง มิฉะนั้นดินในบ้านจะไหลออกไปข้างนอกหมด ถ้าไหลออกไปมากๆ อาจทำให้บ้านเอียงได้
- ควรตรวจประตูรั้วด้วย สำหรับที่เป็นเหล็กก็ขูดสนิม
ออกให้หมด แล้วทาสีใหม่ ส่วนบานพับก็หาน้ำมันหล่อลื่นมาหยอดเพื่อที่จะได้เปิด-ปิดได้สะดวก ถ้าเสียหายมากก็ควรเรียกช่างมาเปลี่ยนใหม่
ข้อมูลจาก "ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง"

ข้อมูลจาก "ร้อยพันปัญหาในงานก่อสร้าง"
บทความแนะนำเพิ่มเติม หนังสือ บ้านหลังน้ำท่วม โดย คุณยอดเยี่ยม เทพธรานนท์

===============================================================
การตรวจสอบและซ่อมแซมสีบ้านหลังน้ำท่วมกับ TOA พร้อมกับ Download คัมภีร์ ซ่อมสีบ้าน

วิดีโอการตรวจสอบและซ่อมแซมสีบ้าน

ข้อมูลจาก "TOAHomeGuide"

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

การตรวจเช็ครถยนต์ ...หลังสถานะการณ์น้ำท่วม/รถจมน้ำ

ตอนนี้เราไปดูกันบ้างว่า ถ้ารถจมน้ำเข้าให้ ไม่ว่าจะจำใจ จงใจ ไม่ตั้งใจนั้น เราควรจะทำอย่างไร?

อันที่จริงแล้วผมไม่อยากจะเอามาบอกนักนัก? ด้วยว่าไม่อยากให้ใครเที่ยวได้เอารถยนต์ไปหล่นตูมตามลงในน้ำลึก? และไม่ได้อยากเห็นใครมีปัญหาเมื่อรถจอดอยู่กับที่แล้วน้ำไม่รักดีบ่าเข้าไปท่วมรถ? แต่อ่านข่าวที่เดี๋ยวนี้ชัก ไม่ค่อยอยากอ่านเท่าไร? ด้วยว่ามีแต่เรื่องน่ากลุ้มใจไปหมดไม่ว่าบ้านเราหรือบ้านเมือง? ก็ยังได้พบข่าวน้ำท่วมประปราย? เลยจับเอาอาการแก้ไขหลังน้ำท่วมรถขึ้นมาเล่าสู่กันฟังเสียตรงนี้ล่ะครับ

  • แรกทีเดียว อย่าพยายามรีบร้อนติดเครื่องยนต์รถที่เพิ่งเอาขึ้นจากน้ำหรือน้ำลดลงไปจากการท่วมมิดเครื่องยนต์เป็นอันขาด? เพราะน้ำที่อัดอยู่ในเครื่องยนต์อาจจะทำให้ก้านสูบกับก้านกระทุ้งวาล์วในกรณีที่เป้นรถโบราณเช่นโฟล์กสวาเกน? เต่าทองนั้น? คดงอได้เลยทีเดียว?
  • อย่าพ่วงไฟเพื่อติดเครื่องยนต์รถที่ไหม่กว่ารุ่นปี ค.ศ. 1989? หรือ พ.ศ. 2532? ขึ้นมา? ด้วยว่านั้นจะเปิดโอกาสให้แอลเทอร์เนอเตอร์ซึ่งมักจะเรียกกันง่าย ๆ ว่า ไดชาร์จ? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานาประดามีในรถไหม้เสียหายได้
  • ก่อนที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่? หรือเอาแบทเตอรี่ไปอัดไฟให้เต็มอีกทีแล้วเอามาใช้? หรือพูดให้ชัดก็ได้ว่า? ต่อขั้วแบตเตอรี่เข้ากับรถอีกครั้งหลังจากพ้นน้ำแล้วนี่? ปลดฟิวส์ของระบบถุงลมนิรภัยเพื่อไม่ให้ทำงานขึ้นมาได้ในระยะแรกนี้ก่อน? ด้วยว่าถ้าวงจรไฟฟ้าในระบบถุงลมนิรภัยเกิดลงดินหรือชอร์ตกันได้แล้วล่ะก็? ถุงลมระเบิดตูมแบบว่าทำงานให้ใช้ได้ขึ้นมาเฉย ๆ เสียของไปเปล่าๆ หลายหมื่นทีเดียวนะครับ
  • ปกติเมื่อรู้ว่ารถจะจมน้ำ? เราก็ควรถอดสายไฟยกแบตเตอรี่ขึ้นที่สูงบนบ้านบนเรือนก่อน? ถ้าทำไม่ทันแบตเตอรี่จมน้ำอยู่ก็จะหมดไฟไปก่อนที่จะเข้าทำให้เกิดกระแสลัดวงจรทที่เสียหายเพราะน้ำได้? แต่เมื่อน้ำแห้งแล้ววงจรอาจจะลงดินอยู่? มีกระแสเข้าไปเมื่อไรลัดวงจรเมื่อนั้น? จึงควรรีบถอดสายแบตเตอรี่ออกทันทีที่รถพ้นน้ำ? ถ้าไม่ได้เอาแบตเตอรี่ออกไปเสียก่อน? โดยเฉพาะรถที่ตกน้ำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจนั่น
  • ทีนี้? เมื่อปล่อยให้วงจรอุปกรณ์หลายอย่างแห้งแล้ว? ก็ปลดฟิวส์ของวงจรที่มั่นใจได้ออกเสียก่อน? เช่นวงจรถุงลมนิรภัยเป็นต้น
  • ตรวจรถยนต์ที่เพิ่งพ้นน้ำของคุณให้ถี่ถ้วน? ถ้าพบน้ำในที่เขี่ยบุหรี่? ก็เชื่อเอาไว้ก่อนว่า? น้ำคงเข้าไปถึงระบบไฟฟ้าบนหน้าปัด? เช่น? มาตรมัดต่าง ๆ และสวิตช์ได้??? และดดยที่วงจรเหล่านี้มักจะทำเป้นแผงจึงสามารถทำความสะอาดและแห้งเอามาใช้ได้ใหม่อีก? แต่ตามที่ปรากฏกันมาก็คือคุณมักจะพบปัญหาของวงจรในการใช้งานต่อไปภายหน้า? และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จมน้ำหรือเปียกน้ำนี้? อายุการใช้งานหลังจากนั้นจะค่อนไปทางข้างสั้น
  • อย่าไปหวังอะไรให้มากนักเลยครับ? นอกเสียจากจะเปลี่ยนกันใหม่หมด? แพงอีกใช่ไหมล่ะ
  • เกียร์อัตโนมัติกับทอรืกคอนเวิร์ตเตอร์? ต้องได้รับการล้างเอาน้ำมั่นและน้ำออกให้หมด? เช่นเดียวกับเฟืองท้าย? หรือส่วนมากในตอนนี้จะไปอยู่ข้างหน้าแล้ว? กับพวกทรานสเฟอร์ของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ? ด้วยว่าทั้งสองอย่างนี้มีรูระบายอากาศน้ำจึงเข้าไปทางนั้นได้? ก็ต้องทำอย่างเดียวกับเกียร์อัตโนมัติ
  • เพลาขับที่ยางหุ้มเพลาขาด? น้ำจะเข้าไปนำเอาจารบีออกไป? ต้องอัดจารบีใหม่และเปลี่ยนยางหุ้มเพลาด้วย
  • อีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้? เมื่อตรวจเกี่ยวกับระบบส่งกำลังนี่คือ ลูกปืนล้อทั้งหน้าและหลังที่มีอยู่ในรถทั่วไป?? ต้องนำออกมาล้างอัดจารบีใหม่? ใส่กลับคืนที่ด้วยการปรับใหม่ให้แน่นตามลำดับไม่แน่นเกินไปจนล้อหมุนฝืด
  • ล้างและเปลี่ยนน้ำระบายความร้อน? เอาโคลนเลนที่ติดอยู่ตามรังผึ้งหม้อน้ำออกให้หมด? ใส่น้ำยาลดความร้อน? หล่อลื่น? และรักษาโลหะลงผสมในน้ำระบายความร้อนใหม่อีกครั้งให้ได้ตามลำดับที่กำหนด
  • การกำหนดอัตราส่วนผสมน้ำยากับน้ำในระบบระบายความร้อนนี้ที่กระป๋องหรือขวดน้ำยาจะมีบอกชัดเจน? ถ้าเป็นฟอร์ดก็จะมีป้ายบอกไว้ที่ระบบหรือหม้อน้ำสำรอง? โดยให้ใช้น้ำยาของฟอร์ด? 50 %? กับน้ำสะอาด? 50 %?? เป็นต้น
  • การใช้น้ำยาสีเขียว? ราคาประหยัด? ใส่เพียงกระป๋องเดียวหกเจ็หดสิบบาทนั่น? ช่วยอะไรทางด้านการลดความร้อนและการสึกกร่อนของอะลูมิเนียมผสมในเครื่องยนต์ไม่ได้หรอกครับ? เรื่องแบบนี้ไม่ควรประหยัดเพราะจะเป็นการเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย? เมื่อถึงเวลาต้องซ่อมเครื่องยนต์ด้วยค่าใช้จ่ายหลาย ๆ หมื่นบาท
  • อย่างน้อยก็ต้องล้างทำความสะอาดภายนอกของระบบห้ามล้อเปลี่ยนน้ำมันเบรก? และหากแช่น้ำอยู่นานก็อาจจะต้องถึงขนาดซ่อมใหญ่เบรกทั้งระบบกันเลยก็ว่าได้? ตรงนี้ไม่ต้องถึงรถจมน้ำทั้งคันหรอกครับ? แค่แช่อยู่ทั้งวันลึกท่วมล้อเท่านั้นก็ได้เรื่องแล้ว
  • รถกระบะหนึ่งตันที่ชอบลุยน้ำลึก? เพราะเห็นว่าเครื่องยนต์ดีเซล ไม่มีระบบไฟฟ้าจุดระเบิด? ไม่ต้องกลัวน้ำเข้าระบบไฟฟ้าแล้วเครื่องดับนั้น? ถ้าน้ำเข้าเครื่องก็เสร็จเหมือนกัน? หนักกว่ารถเบนซินด้วยซ้ำไป??? และเมื่อลุยน้ำลึกมากบ่อยเข้า? น้ำก็เข้าไปในระบบห้ามล้อจนเกิดนิม? และน้ำมันเบรกเน่าเสียไปจนห้ามล้อไม่อยู่ได้นะครับ? อย่าทำเป็นล่นไป
  • อันตรายไม่ได้น้อยก่าเขาอื่นหรอก? ถึงจะขับพ้นตรงที่น้ำท่วมได้ด้วยความเร็วจนน้ำกระจายเป็นปีกไปสาดรถอื่นเขาได้สนุกดีนั่นน่ะ??? เผลอ ๆ เป็นไข้สารตะกั่วเอาแถวนั้นเลยก็ยังเคยมี
  • ของที่จมน้ำแล้วอาจจะต้องถึงกับเปลี่ยนเลยทีเดียวก็คือสตาร์ตเตอร์? เพราะน้ำเข้าไปนี่ฝรั่งบอกว่าซ่อมยากเสียเวลา? แต่บ้านเราคงเอาไปให้ช่างไฟฟ้าตามร้านทั่วไปล้างทำความสะอาด? ตรวจเช็กและปรับสภาพใช้ใหม่ได้? ไม่ต้องกับถึงกับต้องเปลี่ยนใหม่? แต่ต้องเอาออกมาทำแน่นอนถ้าจมน้ำครับ
  • มาถึงตรงนี้? ที่หนักอีกอย่างคงจะเป็นพวกมอเตอร์ไฟฟ้าของกระจกไฟฟ้า? ที่นั่งปรับไฟฟ้า? และเสาอากาศไฟฟ้า? ตรงนี้อาจถึงกับต้องเปลี่ยนเพราะซ่อมยากไปก็ได้ครับ? หลายสตางค์อยู่เหมือนกัน? เพราะฉนั้นอย่าเที่ยวได้ขับรถลงไปแช่น้ำเล่น? ไม่สนุกเลยเมื่อขึ้นมาได้
  • หมดพวกราคาแพงและเป้นปัญหาได้มาก? ก็ถึงส่วนที่มีปัญหาได้ในระดับรองลงมา? จะเปลี่ยนหรือซ่อมก็ต้องตรวจสภาพกันดูทุกส่วน? อย่าวางใจละเว้นละเป็นดี
  • เริ่มที่แผ่นคลัตช์? จานคลัตช์? ลูกปืนคลัตช์? บางทีพอน้ำแห้งอาจจะทำท่าว่าใช้งานได้เหมือนเดิม? ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เท่าไรนัก? ใช้ไปไม่เท่าไรมักจะมีเสียง? และเริ่มแสดงอาการของปัญหาเกียร์เข้ายากขึ้นมาให้พบได้เสมอ
  • แร็กพวงมาลัย? โดยเฉพาะพวกของพาวเวอร์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งทที่ต้องตรวจเช็ก? แม้จะเป็นความเป็นไปได้ที่จะเสียหายเป็นรองของที่บอกมาแล้วในตอนต้น? ก็มีโอกาสเสียหายได้? รวมทั้งช็กอัพตัวยาวตัวสั้นที่ใช้มานานก่อนหน้ารถจมน้ำ? ชีลกันน้ำหลวมแล้ว? น้ำเข้าได้นะครับ? ควรเปลี่ยนถ้าพบความผิดปกติหรือไม่น่าไว้วางใจ
  • รีเลย์? เซ็นเซอร์ต่าง ๆ สวิตช์ไฟ? และกล่องฟิวส์ก็ต้องได้รับการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียหาย?? ยังทำงานได้ดี? โดยเฉพาะกล่องฟิวส์ต้องลงดินได้ดีเช่นเดิมถ้าเกิดมีการจมน้ำอยู่ระยะหนึ่ง? เอาแค่วันเดียวหรือหลายชั่วโมงก็ไม่ดีแล้วนะครับ
  • จานจ่ายนี่ก็ตัวดี? ถ้าเป็นแบบใช้ทองขาวยังไม่เท่าไร?? แต่เบรกทรานซิสเตอร์ขึ้นมานี่? บางทีถึงต้องเปลี่ยนกันเลยทีเดียว? เพราะต่อไปมักทำให้เครื่องยนต์สั่นโดยไม่ทันนึกว่ามาจากตัวนี้ได้
  • แผงวงจรที่ผมว่าไว้ตอนแรกนั้น? พอจะล้างได้ด้วยน้ำซึ่งทำการ DEIONIZED?? จากนั้นก็เอาไปอบที่ความร้อน? 120? องศาฟาเรนไฮต์สัก? 30? นาที? แล้วพ่นด้วยสเปรย์แล็กเกอร์เคลียร์ก่อนจะนำมาใช้ใหม่? ซึ่งก็ยังไม่แน่นักว่าจะทนทานต่อไปได้สักเพียงไร? โชคดีก็รอดตัว
  • คลัตช์ของแอร์คอมเพรสเซอร์ควรได้รับการตรวจเช็กว่าใช้การได้หรือไม่
  • ดวงไฟฟ้าหน้ารถก็อย่ามองข้าม? น้ำอาจจะเข้าไปค้างอยู่? เอาออกเสียให้หมดก่อนที่จานจ่ายจะกลับบ้านเก่าเพราะน้ำทำเหตุ

ที่มา http://www.nakhongarage.com

และ http://v2.one2car.com/Car2Care