วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ 11 วิธีล้างผักให้สะอาด

1) โซดาทำขนมปัง
ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %

2)น้ำส้มสายชู
เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %

3)น้ำไหล
เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %

4)แช่น้ำ
ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %

5)ลวกผัก
ลวก ผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง

6)ปอกเปลือก
การปอกเปลือก หรือลอกใบชั้นนอกออก เช่น กะหล่ำปลี ฯลฯ ช่วยลดสารพิษลงได้

7)คลอรีน
ผสมผงปูนคลอรีน ½ ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก

8)ด่างทับทิม
ผสมด่างทับทิม 5 เกล็ดต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้

9)น้ำปูนใส
เตรียมน้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัว แช่ผักทิ้งไว้

10)น้ำเกลือ
ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้

11) น้ำซาวข้าว
ใช้น้ำซาวข้าวล้างผัก

คำแนะนำ:

* น้ำไหล
วิธีใช้น้ำไหลล้างผักค่อนข้างเปลืองน้ำ ถ้าเป็นไปได้, ควรเก็บน้ำล้างผักไว้รดต้นไม้ หรือใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น

* การล้างผลไม้
การ ล้างผลไม้โดยใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำ(หรือสก๊อตไบรต์)เบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ การล้างไข่ก่อนทำอาหารก็ใช้วิธีนี้ได้

* น้ำล้างจาน
น้ำยา ล้างจานมีสารคล้ายสบู่ เป็นสารประกอบกำมะถัน ซึ่งพืชผักใช้เป็นปุ๋ยได้ดีมาก สารคล้ายสบู่มีฤทธิ์ทำให้ดินร่วน ไม่จับตัวกันแน่น รากของพืชผักจะชอนไชไปหาอาหารได้ดีขึ้น

* น้ำซักผ้า
ผง ซักฟอกมีสารคล้ายสบู่ เป็นสารประกอบฟอสฟอรัส(P) ใช้เป็นปุ๋ยรดพืชผักได้ เวลาใช้ควรใช้แต่น้อย หรือทำให้เจือจางก่อนรด ปุ๋ยจากน้ำซักผ้ามีฤทธิ์เร่งดอกไม้ได้คล้ายกับปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง น้ำยาซักผ้าหลายชนิดไม่ได้ใช้เกลือฟอสฟอรัส หันไปใช้เกลือกำมะถันแทน ใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชผักได้ แต่จะไม่มีคุณสมบัติเร่งดอกได้เท่าปุ๋ยจากผงซักฟอก

จากวารสารหมอชาวบ้าน

นาโนเทคโนโลยี คือ ??

นาโนเทคโนโลยี (อังกฤษ: Nanotechnology) คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตร(ประมาณ 1-100 นาโนเมตร) รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้สร้างหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมากๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่งผลให้โครงสร้างของวัสดุหรืออุปกรณ์มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นไม่ว่าทางด้านฟิสิกส์ เคมี หรือชีวภาพ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

ริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นคนแรกที่แสดงความเห็นถึงความเป็นไปได้ และแนวโน้มของนาโนเทคโนโลยี ในการบรรยายเรื่อง “There’s plenty of room at the bottom” ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) โดยการแสดงความเห็นถึงความเป็นไปได้ และโอกาสของประโยชน์ที่จะได้จากการจัดการในระดับอะตอม




















ปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ.
2517) ศาสตราจารย์ โนริโอะ ทานิกูชิ (Norio Taniguchi) แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โตเกียวเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า “Nanotechnology” (N. Taniguchi, "On the Basic Concept of 'N
ano-Technology'," Proc. Intl. Conf. Prod. Eng. Tokyo, Part II, Japan Society of Precision Engineering, 1974)

นาโนเทคโนโลยีช่วยอะไรเราได้บ้าง

1.พบทางออกที่จะได้ใช้พลังงานราคาถูกและสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2.มีน้ำที่สะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนในโลก
3.ทำให้มนุษย์สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนกว่าเดิม (มนุษย์อาจมีอายุเฉลี่ยถึง 200 ปี)
4.สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างพอเพียงกับประชากรโลก
5.เพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้คนทั้งโลกอย่างทั่วถึง ทัดเทียม และพอเพียง
6.เพิ่มศักยภาพในการสำรวจอวกาศมากขึ้น

สาขาย่อยของนาโนเทคโนโลยี

1.นาโนอิเล็กทรอนิกส์ (Nanoelectronics)
2.นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Bionanotechnology)
3.นาโนเซนเซอร์ (Nanosensor)
4.การแพทย์นาโน (Nanomedicine)
5.ท่อนาโน (Nanotube)
6.นาโนมอเตอร์ (Nanomotor)
7.โรงงานนาโน (Nanofactory)













ตัวอย่างผลงานจากนาโนเทคโนโลยี

-คอนกรีตชนิดหนึ่งใช้เทคโนโลยีนาโน ใช้ Biochemical ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกับมลภาวะที่เกิดจากรถยนต์ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ในประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างถนนและอุโมงค์ต่างๆ เพื่อลดมลภาวะบนท้องถนน และขณะเดียวกันเทคโนโลยีนาโน ทำให้อนุภาคคอนกรีตมีขนาดเล็กมาก ฝุ่น และแบคทีเรีย ไม่สามารถฝังตัวในเนื้อคอนกรีตได้ ทำให้อาคารที่ใช้คอนกรีตชนิดนี้ ดูใหม่เสมอ และยังคงไม่สะสมเชื้อโรค
-เสื้อนาโน ด้วยการฝัง อนุภาค
นาโนเงิน (silver nanoparticle) ทำให้เกิดปฏิกิริยากับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
-ไม้เทนนิสนาโน ผสม ท่อคาร์บอนนาโน เป็นตัวเสริมแรง ทำให้แข็งแรงขึ้น (อ่าน วัสดุผสม)

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ USB 3.0 (Superspeed)


คาด ว่าหลายคนคงทราบกันแล้วว่าขณะนี้ USB เวอร์ชั่น 2.0 ที่เราใช้งานกันอยู่นั้นเริ่มมีความเร็วที่ไม่เพียงพอแล้ว เนื่องจากในปัจจุบันข้อมูลเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง storage ก็มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วย แต่ความเร็วนั้นยังกลับเท่าเดิม การมาของ USB 3.0 หรือที่เรียกในอีกชื่อว่า USB superspeed ในครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการคอมพิวเตอร์ และเราจะได้ใช้กันในช่วงปีหน้าแน่นอน ฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า USB 3.0 มีรายละเอียดเป็นอย่างไร และมีสิ่งที่ควรรู้คืออะไรบ้าง

- USB 3.0 มีความเร็วสูงกว่ารุ่นเก่าถึง 10 เท่า

จาก แรกเริ่มเดิมทีนั้น USB 2.0 ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2000 นั่นมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 480 Mbp/s (60 MB/S) แต่สำหรับ USB 3.0 ที่กำลังจะออกมาให้ใช้ในไม่ช้านี้จะมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8 Gbp/s (600 MB/s) ในทางทฤษฎี แต่ความเป็นจริงนั้นจะมีความเร็วหลังจากที่หัก overhead ออกแล้วเหลืออยู่ประมาณ 3.2 Gbp/s ซึ่งจะมากหรือน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับโปรโตคอลที่ใช้ครับ

- USB 3.0 จะใช้พลังงานได้คุ้มค่ามากกว่าเก่า
ปกติ USB 2.0 จะมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ที่ 4.75 v. – 5.25 v. ต่อพอร์ท และใช้กระแสอยู่ที่ 500mA ซึ่งหากคิดเป็นอัตราค่าพลังงานต่อความเร็วแล้วจะได้ที่ประมาณ 960Kbp/s ต่อ mA แต่ USB 3.0 จะใช้พลังงานมากกว่าเก่าเกือบสองเท่า คือที่ประมาณ 900mA แต่ได้ความเร็วกลับมาประมาณสิบเท่า ก็ถือว่าคุ้มค่าละครับ นอกจากนี้ยังมีระบบจัดการพลังงานอีกด้วยคือจะมีโหมด idle, sleep, suspend เพื่อความประหยัดพลังงาน

- USB 3.0 ใช้การส่งข้อมูลแบบ Bi-Directional (Full-Duplex)

Full Duplex คือการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางได้พร้อมกันในทันที (สังเกตได้จากโลโก้ด้านบน ที่มีลูกศรสองหัว) ซึ่งในเวอร์ชั่นที่เราใช้ๆ กันอยู่นั้นจะสามารถส่งข้อมูลครั้งละ 1 ทิศทาง สังเกตได้ว่ารูปแบบสาย USB 3.0 นั้นจะมีถึงสี่เส้น โดยใช้ทิศทางละสองเส้น ต่างจากเวอร์ชั่น 2.0 จะมีสายที่ใช้ในการส่งข้อมูลเพียงคู่เดียวเท่านั้น




สาย USB 3.0 ต้นแบบ






- สายของ USB 3.0 จะใช้ได้ที่ความยาวแค่ไหน ?

ตาม ข้อมูลนั้นไม่ได้ระบุไว้ แต่จากการทดสอบเบื้อต้นของเว็บไซต์ electronicdesign.com นั้นระบุไว้ว่าความยาวที่จะยังคงให้ความเร็วสูงสุดไว้ได้นั้นจะอยู่ที่ 3 เมตร

- เราจะได้ใช้กันตอนไหน

ขณะ นี้ USB 3.0 ได้ถูกยกเป็นมาตรฐานใหม่แล้วเรียบร้อย โดยราคาของ USB 3.0 controller นั้นราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณสี่ร้อยบาท และคาดหวังไว้ว่าจะมีอุปกรณ์ที่รองรับออกมาสู่ตลาดในช่วงปีหน้า

- มีเมนบอร์ด, อุปกรณ์รองรับหรือยัง ?

ก่อน หน้านี้ ASUS เคยประกาศว่าจะผลิตเมนบอร์ดตัวแรกของโลกที่รองรับออกมา แต่สุดท้ายก็ได้ยกเลิกไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้งานได้กับ USB 3.0 ที่ผ่านการรับรองแล้วนั้นได้มีถูกผลิตแล้วโดย NEC โดยเพิ่งไปสาธิตในงาน Intel Developer Forum (IDF) 2009 เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดยทำความเร็วในการโอนไฟล์ 500MB เข้าสู่ SSD โดยใช้เวลาเพียง 4.2 วินาที







หัวต่อ USB 3.0 ชนิด mini รูปแบบ B







- อุปกรณ์ USB 2.0 เดิมจะใช้กับพอร์ทเวอร์ชั่นใหม่นี้ได้หรือไม่

ยังคงใช้งานได้ตามปกติ แต่จะได้ความเร็วที่ USB 2.0 แทน

- มี OS ตัวไหนรองรับแล้วบ้างในตอนนี้

ค่าย ที่รองรับไปแล้วตอนนี้เป็นฝั่งของ Linux ที่รองรับใน kernel เวอร์ชั่น 2.6.31 ส่วนทางฝั่ง Windows นั้นทางไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ Windows 7 อยู่

cradit : how-2-work.blogspot.com

แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต

1. เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

2. เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน
ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆ ผม แทะกินเศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่
แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่ โกหกผม

3. เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆ น้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน
บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน"แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก"
แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หลับ" ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

4. ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจให้ผม
มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่
เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน
แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม

5. หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มา จุนเจือครอบครัว
แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆ บ้านท่านเป็นคนดี
พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่
แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องการความรักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว

6. ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง
แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่
(ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคืนให้ผมอีก
แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์

ต้องบอกว่าประเทศไทยเปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)
ระบุว่าไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตา ของนักลงทุนญี่ปุ่น
ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ

1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง
ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก
ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตา มหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ
น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา
หรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง
และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการ ตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ
หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้ว
ไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล
เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคมข้อสุดท้าย!
อ่านแล้วอาจต้องแปะติดข้างฝาไว้เลย!!

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

"อย่าแค่สร้างสิ่งล่อใจ...สร้างแบรนด์...ธรรมชาติของ สินค้าหรือบริการที่ลูกค้าต้องการต่างหากน่าใส่ใจกัน

หลัง จากที่ลูกค้ารู้จักธุรกิจเราแล้ว ก็จะนำไปสู่การซื้อสินค้า การซื้อสินค้าจากสินค้าที่ยังไม่รู้จักดี ก็ย่อมต้องมีความเสี่ยงเป็นธรรมดา แต่บางทีความรู้สึกของผู้ซื้อก็ยังมีเวลาให้พิสูจน์ตัวเอง ในบางกรณี เช่น ร้านอาหารใหม่ความเสี่ยงจะต่ำ เพราะคนขายของใหม่ขึ้นอยู่กับเวลาในการลงทุน กำลังและเงิน และผู้ซื้อยังไม่รู้สึกตำหนิสูงเพราะยังใหม่อยู่ เหตุนี้แผนการตลาดจะต้องปรับให้เหมาะสมกับอัตราการรับรู้อัตราเสี่ยง จึงต้องสร้างสิ่งล่อใจมีดังนี้ เพื่อลดความเสี่ยง เช่น ที่ถือว่าเป็นยอดฮิตจากการสำรวจมาแล้ว แต่ก็ไม่แค่เท่านี้ สิ่งเด็ดดีเพิ่มเติมอยู่ท้ายบทความนี้แน่นอน

1. สินค้าตัวอย่าง
2. คูปอง
3. ลดราคา
4. การเสนอส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่
5. ฟรีสำหรับการใช้บริการครั้งแรก
6. รับประกันคืนเงิน ฯลฯ

แต่ละ สิ่งล่อใจข้างต้น ต้องมีความสัมพันธ์แบบพอดีกันในเรื่องของราคาและคุณภาพ รวมทั้งความรู้สึกเสี่ยง ดังนั้นการใช้คูปอง จุดประสงค์ต้องการให้เกิดการซื้อเพิ่มขึ้นจากการซื้อขณะนั้นหรือดึงมาเป็น ลูกค้าเรื่อยๆ การประกันการคืนเงินใช้ได้ดีในการบริการใหม่ เป้าหมายคือ การลดความกังวลเกี่ยวกับการจับจ่ายสินค้าเป็นสำคัญ แต่ต้องพิจารณาว่าสินค้าหรือบริการมีความจำเป็นขนาดไหน

ใน การซื้อสินค้าแต่ละครั้งจะนำไปสู่การประกอบการทางธุรกิจ ผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจรายย่อยโดยเฉพาะธุรกิจใหม่ ใช้เวลาในการตัดสินใจ เงิน และความพยายามในการดึงดูดและการหาลูกค้าในการสร้างสิ่งล่อใจสินค้า แต่เป้าหมายสำคัญจะต้องเก็บข้อมูลลูกค้าให้ได้และพิจารณาธรรมชาติของสินค้า หรือบริการตัวเองด้วย

จึง ขอฝากหลักคิดต่อไปนี้จากการสร้างสิ่งล่อใจข้างต้น 6 ประการที่สำรวจแล้วถือว่าดีที่สุดในความรู้สึกของลูกค้าว่าลดอัตราเสี่ยงแก่ เขาได้แล้วยังต้องคำนึง

1.การทำให้ลูกค้าเป็นผู้สนับสนุนธุรกิจของ เรา

ฐาน ของลูกค้าที่เหนียวแน่น คือความแตกต่างระหว่างการประสบความสำเร็จกับความล้มเหลว ในธุรกิจ เป็นปกติที่จะมีผู้ที่ได้เงินและมีเวลาที่จะเก็บลูกค้าใหม่ ในขณะที่ของเก่าตกไปตามธรรมชาติ และกาลเวลา ฐานข้อมูลของลูกค้าที่ต้องไม่ตามกระแสแต่มีความเป็นตัวของตัวเองจะช่วยการ สนับสนุนการทำธุรกิจได้ดี ผู้สนับสนุนก็คือลูกค้าผู้ซึ่งภักดีต่อธรรมชาติสินค้าหรือบริการแล้วจึงมีผล ต่อธุรกิจ โดยเฉพาะประเภทปัจจัย 4 เคยคิดบ้างไหม หลายธุรกิจบริการขอใช้คำว่าสวนกระแสบริการดี แต่ยังอยู่ได้ และแนวคิดไปสู่การสื่อสารทางบวก ด้วยปากต่อปาก วิธีที่หลากหลายสามารถทำให้รักษาลูกค้า และเปลี่ยนพวกเขามาเป็นผู้สนับสนุนได้อย่างดี

2.การจัดการฐานข้อมูล

ปัจจัย ที่สำคัญยิ่งของธุรกิจใหม่หรือธุรกิจขนาดเล็กจนขนาดใหญ่ คือ การพัฒนาและการบำรุงรักษาฐานข้อมูลที่รู้จักลูกค้าดี ชัดเจนแน่นอน โชคร้ายที่ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากและธุรกิจที่เพิ่งเริ่มได้มองข้ามสิ่งที่ สำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบของแผนสื่อสารการตลาด แม้เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดในการสื่อสารแต่ส่วนมากมีผลกระทบต่อราคาและต้นทุน ตัวเอง วิธีในการรักษาลูกค้า และเปลี่ยนให้พวกเขามาเป็นผู้สนับสนุนเราดูจะเหมาะกว่าด้วยกระแสปากต่อปากใน สิ่งล่อใจในปัจจัยที่เข้ากับธรรมชาติของสินค้าหรือบริการไม่ใช่แค่บริการ

การ พัฒนาฐานข้อมูลไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องและไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญมากหรือใช้เทคโนโลยีให้เปลือง เงินทอง สำหรับการจัดการค้าปลีกรายย่อยเจ้าของจะค้นหาฐานข้อมูลได้หลายชั่วโมง ตั้งแต่เปิดร้านถึงปิดร้าน ขณะที่ร้านเปิดอยู่ลูกจ้างสามารถใช้เวลาตรงนี้ช่วยสร้างสรรฐานข้อมูล ได้ ทำได้โดยการสะสมนามบัตร การพิจารณาจากการจ่ายเงิน ซื้อสินค้าและบริการ หรือรายชื่อการซื้อจากเครดิตการ์ด ควรใส่ข้อมูลของทุกคนที่เข้ามาจ่ายเงินลงไปในฐานข้อมูล ว่าครั้งหนึ่งที่ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าได้มีข้อมูลของลูกค้าเก็บอยู่ การพัฒนาข้อมูลของแต่ละลูกค้าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในการตลาดได้ โดยการเชื่อมต่อระหว่างแคชเชียร์กับฝ่ายฐานข้อมูลทันที แล้วค่อยมาทำการคัดเลือกด้วยการใช้การตลาดทางตรงไม่ใช่เหวี่ยงแหสูญเปล่าใน ปัจจุบัน

3.การตลาดทางตรง

การ สร้างกำไรจากฐานข้อมูลที่ทำได้ข้างต้นจะมีผลตามมาคือ การทำการตลาดทางตรง ซึ่งเริ่มจากจดหมายอีเมล์ โทรศัพท์ หรือการติดต่อโดยบุคคล ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากคิดว่ามีแต่ทางจดหมายเท่านั้น แต่ข้อมูลของลูกค้าควรจะถูกใช้อย่างระมัด ระวังจากการโทรศัพท์ แฟกซ์ หรืออีเมล์ อาจมีประสิทธิภาพในการติดต่อลูกค้ามากกว่าและยังเป็นความลับกว่าอีกด้วย

อย่างไร ก็ตามการสื่อสารที่ถูกต้องที่ยังใช้กัน คือ ส่งทางไปรษณีย์ direct mail เป็นวิธีที่ได้ผลและสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ขั้นตอนการทำการทดลองการตลาดทางตรงมีดังนี้

1.ก่อผลต่อกำหนดเป้าหมาย ให้แน่ใจว่าเป็นมากกว่าการขายทั่วไป

2.กำหนดผู้รับสารโดยใช้ฐานข้อมูลช่วย และนำข้อมูลที่ได้มาทำฐานข้อมูลใหม่ที่ทันสมัยเป็นปัจจุบัน

3.ได้ทั้งกลุ่มเป้าหมายและติดต่อลูกค้าที่กำหนด ไว้ตามแผนสื่อสารหรือธุรกิจของเรา

4.ผลิตภัณฑ์ ทำตัวอย่าง

5.ส่งจดหมายโดยให้มีการตอบกลับที่เราติดแสตมป์อำนวยความสะดวกมาเรียบร้อย

6.ก็แค่รอการตอบกลับ แล้วดูจำนวนตอบกลับก็พอจะเห็นลูกค้าที่ให้ความสนใจแล้ว

7. แต่ข้อสำคัญต้องเริ่มรู้จักการตลาดพอเพียง และเป็นไปได้คือส่งแล้วเกิดผลแน่แก่ลูกค้าที่ส่งไม่ใช่สักแต่ส่งๆ เหมือนที่ทำกัน งบประมาณสูญเปล่า

4.พนักงานขาย

การ สัมผัสโดยบุคคลยังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ในการรักษาลูกค้า ไม่ว่าขนาดของธุรกิจจะเป็นอย่าง ไรก็ตาม ในกรณีที่ขนาดเล็กยังเป็นเรื่องจำเป็น การรู้จักชื่อลูกค้า ที่อยู่ หรือข้อมูลอื่นๆ การโทร.ไปหรือการไปหาตามร้านค้าปลีกจะได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการตลาดทางตรง แต่ต้องระวังการไม่ใส่ใจและไม่เตรียมพร้อมของพนักงงานและคนบริการ อาจจะทำให้ธุรกิจเกิดการสูญเสียได้โดยเฉพาะ Tele marketing ต้องให้สอดคล้องกับธรรมชาติและบริการด้วย

5.การแสดงสินค้าและการ ส่งเสริมการขายแก่ผู้บริโภค

ลูกค้า ของธุรกิจขนาดย่อมแม้แต่ขนาดใหญ่ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขามีคุณค่าเช่นเดียว กับธุรกิจอื่น นอกจากการทำลูกค้าสัมพันธ์และการที่จะเป็นผู้นำการตลาดได้จะต้องสร้างสรรค์ เรื่องนี้ให้ได้ต้องเข้าใจในการใช้สินค้าของผู้บริโภคและการส่งเสริมการขาย เพราะว่าจำนวนเงินในการตลาดยังมีจำนวน มากเพียง แต่เรายังหาไม่เจอเข้าไม่ถึงเท่านั้น การโฆษณาพิเศษจะช่วยในการส่งเสริมการค้าได้มาก ปฏิทิน ปากกา ถ้วย และอื่นๆ ช่วยให้ลูกค้าจำได้ น่าจะเป็นการส่งเสริมการขายระยะแรกๆ ก่อน เมื่อมีการเจริญเติบโตแล้วจึงจะก้าวไปสู่การส่งเสริมการค้าชนิดอื่นๆ เช่น ส่วนลด หรือสิ่งล่อใจอื่น 6 ประการดังข้างต้นของบทความ และยังควรมีการส่งเสริมการบริโภคด้วยมีการแจกคูปอง

สำหรับ การแจกคูปองก็จริงใจกันหน่อย เห็นได้กันอย่างมาก 10%, 20% แทบทุกสินค้าและบริการ แล้วเคยถามตัวเองไหม ไม่ค่อยจริงใจอย่างนี้ ทำไมลูกค้ายังสนใจกันอยู่ทั้งที่รู้ว่า 50%, 70% น่ะมีน้อย ก็เพราะเขาต้องการสินค้าและบริการซึ่งธรรมชาติมนุษย์เขาก็ต้องใช้อยู่แล้ว แม้ไม่มีก็ตาม มีการทำของแจก จัดประกวดหรือ ชิงโชคของตัวอย่าง การรับคืนและส่วนลด ควรมีการ พัฒนาเท่าที่จะเป็นไปได้ คือให้สอดคล้องธรรมชาติสินค้าหรือบริการ อย่างผลการประกวดและชิงโชคช่วยให้ได้สร้างฐานข้อมูลที่ชัดเจนอีก การประกวดต้องขอชื่อและที่อยู่ในการสมัครประกอบด้วย หรือแม้แต่การใช้การประกวดอย่างสาวงามของสินค้าหรือการประกวดที่เข้ากับ แนวคิดสินค้า ฯลฯ

จึง มีหลายสิ่งที่ต้องจำ เมื่อพัฒนาการค้าและส่งเสริมการบริโภค อย่างแรกต้องดูผลกระทบต่อต้นทุนเรา การเพิ่มราคา อย่างที่สองเป้าหมายควรเริ่มอย่างมีระบบจากการสร้างการจดจำ ภาพลักษณ์ การขาย อย่างที่สาม การส่งเสริมการขายนั้นควรสะท้อนตำแหน่ง ภาพลักษณ์ และแนวทางของธรรมชาติของสินค้า อย่าแค่สร้างสิ่งล่อใจ เพื่อลดอัตราเสี่ยงจ่ายเงินลูกค้าเท่านั้น หรือจะมุ่ง “customer is the King” หรือจะสร้างแบรนด์ตะพึด ธรรมชาติสินค้าหรือบริการต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ

ขอ ฝากข้อความปิดท้ายถามบรรดาลูกค้ายันนักการตลาด นักผู้ประกอบการทั้งหลาย จะธุรกิจไหนก็แล้วแต่ บางทีสินค้าไม่ค่อยจะดีนักแต่ก็ไม่เลวร้าย คืออาจดีสู้ระดับยักษ์ๆ ไม่ได้ หรือโดยเฉพาะ “บริการไม่ดีเท่าไรนัก” ทำไมธุรกิจเหล่านั้นยังอยู่กันได้ ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อสินค้าและบริการนั้น คิดกันเอาเอง คำตอบที่อยู่ได้เพราะ “ธรรมชาติสินค้าและบริการของเขายังไง จะดีเลวก็ยังต้องใช้ไงเล่า” ลองคิดเอาดู กรุณาอย่ายึดติดคัมภีร์ตะวันตกกันนักเลยและติดตัวตนตัวเอง ตายไปจะจำได้ไหมว่าข้าเคยหญ่าย...คิดให้ติดดินซะบ้าง



ที่ มา : http://www.siamturakij.com

วิธีการรักษาลูกค้าปัจจุบันให้อยู่กับเราตลอดไป

ปัจจุบันเรามีเทคนิค ใหม่ ๆ ที่สามารถรักษาลูกค้าที่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ายิ่งนักยามที่เศรษฐกิจ ตกต่ำ นั่นก็คือ การจัดตั้งฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ขึ้นมาดูแล ซึ่งก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถผูกลูกค้าไว้กับบริษัทได้ จึงได้เกิดแนวทางใหม่ ๆ ที่เรียกว่า หลักการ CRM (Customer Relationship Management) มีแนวทางอยู่ทั้งสิ้น 12 ประการ ดังนี้

1. สร้างคุณค่าเพิ่ม ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าพอใจเท่านั้น ยังต้องสร้างความรู้สึก "เกินกว่าความพอใจ"

2. ให้บริการก่อน และหลังการขายอย่างเป็นกันเอง (Personalized)

3. ใช้ระบบ Call Center และต้องวางกองหลัง back office ให้แข็งแกร่ง

4. ใช้โปรแกรมการส่งเสริมการขายที่หวังผลระยะยาว เช่น ให้แคมเปญสะสมคะแนนจากยอดซื้อ ซึ่งระยะเวลาไม่ควรเกินกว่า 30-90 วัน เป็นต้น

5. ตั้งฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ

6. ให้ความเสมอภาคกับลูกค้าแต่ละราย

7. สำรวจคู่แข่ง และสำรวจสถานการณ์ทางการตลาดอยู่เสมอ

8. ยึดหลัก Mass Cutomization คือ ออกแบบเคมเปญสำหรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ โดยมีจุดเด่นตรงที่สิ่งที่ลูกค้าแต่ละรายจะได้รับแคมเปญนั้นไม่เหมือนกัน

9. สร้าง Internal Marketing ที่แข็งแกร่ง มี back office ที่ดี

10.ฝ่ายบริหารต้องเห็นความสำคัญ ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง

11.สร้างอุปสรรคในการเปลี่ยนไปเป็นลูกค้าของบริษัทอื่น (Switch cost) โดยบริษัทสามารถสร้างอุปสรรคในการเปลี่ยนไปร่วมรายการส่งเสริมการขายของ สินค้าอื่น เช่น แคมเปญสะสมแต้มคะแนนที่มีรางวัลมูลค่าสูง ๆ และเมื่อสะสมคะแนนถึงระดับนึ่ง แต้มคะแนนจะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนก็สามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัลชิ้นใหญ่ ได้โดยไม่ยากนัก

12. ในกรณีลูกค้าที่มีคนกลางในช่องทางการตลาด ให้เน้นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยบริรกลุ่มผลิตภัณฑ์ ที่ลูกค้าวางจำหน่ายในร้าน ช่วยการจัดวางสินค้าในร้าน จัดกิจกรรมพิเศษในร้าน หรือที่เรียกว่า เป็นรูปแบบความสัมพันธ์แบบ Proactive Marketing

ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 12 ข้อ เป็นหลักการง่าย ๆ ที่จะสามารถดึงลูกค้าให้อยู่กับคุณนาน ๆ



ที่มา : นิตยสาร Brandage

10 วิธีกู้วิกฤตธุรกิจ

Focus ทำเฉพาะสิ่งที่บริษัททำได้ดีที่สุด
การทำธุรกิจหลายประเภทที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกัน ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูง ในสภาวะปัจจุบันหลายธุรกิจมียอดขายลดลง กำไรน้อยหรือขาดทุนอยู่ นักธุรกิจจึงจำเป็นต้องลดขนาดของธุรกิจและเลือกทำเฉพาะธุรกิจที่บริษัททำได้ ดีที่สุด โดยพิจารณาถึงความถนัดความสามารถในการแข่งขัน และแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตเป็นหลัก

รักษาลูกค้าให้ดีที่สุด
การมุ่งหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากและเสียค่าใช้จ่ายสูงในสภาวะ ปัจจุบัน การรักษาลูกค้าเดิมโดยการกระตุ้นให้ลูกค้าเดิมใช้สินค้าของเรามากขึ้นเดิม เป็นฐานสามารถทำได้ง่ายกว่า ดังนั้นนักธุรกิจจึงควรให้ความสนใจ และทำทุกวิธีที่จะรักษาลูกค้าเดิมให้มากที่สุด

มองวิกฤติให้เป็นโอกาส
ในช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงทฤษฎีวงจรธุรกิจว่ามีขึ้นมีลง การทำธุรกิจต้องระมัดระวังสอนให้เข้าใจถึงคุณค่าของความประหยัดและที่สำคัญ สอนให้เรารู้จักมองวิกฤติให้เป็นโอกาส การมองวิกฤติให้เป็นโอกาส คือการมองหาข้อดีในปัญหาที่เกิดขึ้น และใช้ข้อดีนั้นมาช่วยสร้างโอกาสของธุรกิจอีกครั้ง เช่น ค่าเงินลดลงธุรกิจส่งออกย่อมดีกว่าธุรกิจนำเข้า หรือธุรกิจไม่ดีคู่แข่งจะอ่อนแอโอกาสขยายกิจการส่วนแบ่งทางการตลาดจะทำได้ ง่ายขึ้น

ลดขนาดของการลงทุนให้เหมาะสม
ปัญหาเศรษกิจมีผลทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงขนาดของตลาดจึงลดลงการทำ ธุรกิจต้องคำนึงถึงขนาดของตลาดที่ลดลงด้วย การลงทุนและการประกอบธุรกิจต้องลดลงให้เหมาะสมกับสภาพตลาด แต่ที่สำคัญนักธุรกิจจะต้องคำนึงความสามารถของการแข่งขันและต้องพยายามรักษา ส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นหลัก

เก็บสต็อกสินค้าให้น้อยลง
การบริหารการผลิตและการจัดเก็บสินค้ามีผลกระทบต่อสภาพคล่องของธุรกิจและค่า ใช้จ่ายของธุรกิจ การเก็บสต็อกสินค้าที่เหมาะสมให้เพียงพอกับยอดขายเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา สำหรับสินค้าที่ขายดี ส่วนสินค้าที่มีการระบายช้าควรเปลี่ยนสต็อกให้เป็นเงินสด และเก็บสต็อกให้น้อยผลิตเมื่อมีคำสั่งซื้อจะดีกว่า

ลดต้นทุนลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด
การประหยัดและการลดค่าใช้จ่ายมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจในยุคที่ยอด ขายธุรกิจลดลง แต่ต้นทุนของธุรกิจ(ดอกเบี้ย) สูงขึ้น การประหยัดและลดค่าใช้จ่ายจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารและพนักงานควรร่วมมือ ร่วมใจดำเนินการแต่ต้องไม่กระทบต่อคุณภาพของสินค้า หรือบริการและความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด

เลือกผลิตสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่ง
ในสภาวะปัจจุบันแม้ขนาดขนาดของตลาดจะเล็กลง แต่การแข่งขันทางการตลาดก็มิได้ลดลง เพราะทุกธุรกิจต้องพยายามแย่งกำลังซื้อที่เหลืออยู่ของตลาด การเลือกผลิตหรือขายสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน จะช่วยให้ธุรกิจมีคู่แข่งน้อยลง สินค้ามีจุดเด่น และช่วยลดค่าใช้จ่ายของการตลาดได้

ระบบการเงิน เน้นเงินสดมากกว่ากำไร
ธุรกิจปัจจุบันขาดสภาพคล่องทางการเงิน ดังนั้น การเน้นขายเงินสด แม้กำไรน้อย อาจมีความสำคัญมากกว่าการขายสินค้ากำไรสูงแต่เก็บเงินได้ช้า

มุ่งพัฒนาบุคลากรเตรียมพร้อมเพื่ออนาคต
แม้ธุรกิจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่ก็มิได้หมายความว่าธุรกิจจะไม่มีขาขึ้น ในสภาวะเช่นนี้จึงเป็นเวลาที่นักธุรกิจมีโอกาสคัดเลือกพนักงานที่ดี และมีการพัฒนาบุคลากรที่ดีจะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันได้

ในสภาวะปัจจุบันทุกธุรกิจมีเป้าหมาย
เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ เป็นหลักซึ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น แต่นักธุรกิจต้องศึกษาแนวโน้มของตลาดในอนาคต และสร้างเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจให้เหมาะสม ก่อนแล้วจึงกำหนดเป้าหมายระยะสั้น สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว



ที่มา : http://course.yonok.ac.th/

การรักษาลูกค้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ

การที่ลูกค้าจากเราไปยังมีปัญหาน้อยกว่า การที่ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมไปซื้อสินค้าของคู่แข่ง วิธีการใหม่ในการทำความเข้าใจลูกค้าและศึกษาถึงพฤติกรรมของลูกค้าแบบใหม่นี้ จะสามารถทำให้เราเข้าใจถึงพลังของอำนาจในการทำให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีกับ ตราสินค้าเราได้

บริษัทมากมายต่างทุ่มเงินมหาศาลในการทำความเข้าใจ และชักนำลูกค้าในแต่ละปีเพื่อที่จะรักษาให้ลูกค้าอยู่กับเรา หรือให้เขาใช้จ่ายมากขึ้น แต่การรักษาหรือเพิ่มความจงรักภักดีของลูกค้านั้น องค์กรควรต้องหันมาให้ความสำคัญในการเจาะลึกถึงข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนมาก ยิ่งขึ้นกว่าวิธีการเก่าๆที่เคยทำกันมาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาความพึงพอใจ หรือการหาสิ่งบกพร่องของตัวองค์กรและผลิตภัณฑ์ ทั้งๆที่แต่ละองค์กรได้ลงทุนมหาศาลกับ software และวิธีการในการส่งเสริมให้เกิดความจงรักภักดี (Loyalty) ของลูกค้าระดับบนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยากที่จะอธิบายขึ้นในทุกอุตสาหกรรม

แนวความคิดที่จะทำการทำนายหรือคาดคะเนความต้องการของผู้บริโภค และศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการของลูกค้าให้เร็วขึ้น และจัดหากิจกรรมทางการตลาดในการเข้าหาลูกค้ากลุ่มนี้ และนำเสนอความต้องการใหม่ให้เขาก่อนที่เขาจะนึกถึงนั้น คือสิ่งที่ทุกองค์กรในปัจจุบันควรทำกัน ไม่เช่นนั้นองค์กรนั้นๆก็จะประสบกับปัญหาการเอาใจออกห่างของลูกค้า (Defecting Customers)

จากการศึกษาวิจัยถึงทัศนคติและ Lifestyle ของกลุ่มลูกค้ากว่า 1,200 ตัวอย่างในกว่า 16 อุตสาหกรรมที่กระจายอย่างกว้างขวางตั้งแต่ธุรกิจสายการบิน ธนาคาร สินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนถึงสินค้าอุตสาหกรรม บ่งบอกว่า การปรับปรุงการบริหารจัดการในเรื่องการเอาใจออกห่าง หรือการหันไปซื้อสินค้าคนอื่นนั้น ไม่เพียงแต่เน้นความสำคัญในเรื่องการที่ลูกค้าตีจาก แต่รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าที่ เปลี่ยนแปลงไป สามารถช่วยลดปริมาณการตีจากหรือการนอกใจของลูกค้าได้มากถึงกว่า 10 เท่าตัว

การวิเคราะห์ถึงความแตกต่างของพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า และระดับความจงรักภักดีของลูกค้าแต่ละคนนั้น เป็นศาสตร์แห่งความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ ฉะนั้นผมจึงมองว่าทฤษฎีหรือเทคนิคการบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์นั้น ใครๆก็พูดได้ ใครๆก็เรียนรู้ได้ แต่มีสักกี่คนที่สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ผลบ้าง การเข้าใจและเรียนรู้ลูกค้าในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักการตลาดจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ไม่เฉพาะในเรื่องการตลาดเท่านั้น แต่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในแต่ละเชื้อชาติ ศาสนา จะไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ฝรั่งจะมาเข้าใจดีกว่าคนไทยด้วยกันเองได้อย่างไร ในสมัยนี้ เทคโนโลยีสามารถเรียนรู้ทันกันหมด แต่ศิลปะของการ applied เป็นศิลปะเฉพาะของแต่ละบุคคล ด้วยเหตุนี้ ในโรงเรียนสอนบริหารธุรกิจนั้น ควรจะต้องบรรจุวิชาว่าด้วยการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์เข้าไปด้วย และนักศึกษาบริหารธุรกิจจะต้องเข้าห้องเรียน จิตวิทยา ด้วย เพราะการเรียนรู้เรื่องของคนเป็นการเรียนรู้ที่ซับซ้อนที่สุด

การเรียนรู้และการเข้าใจลูกค้า

การชักจูงหรือโน้มน้าวในลูกค้าใช้จ่ายเงินนั้น แต่ละองค์กรจะต้องเจาะลึกลงไปมากกว่าการค้นหาเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการที่ลูกค้าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น การเรียนรู้หรือการประเมินวัดความพึงพอใจของลูกค้าในระดับกว้าง คือไม่ใช่ถามเพียง Demographic และความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์เท่านั้น จะสามารถบ่งบอกบริษัทได้ว่า ลูกค้ากลุ่มไหนเริ่มมีความคิดที่จะตีจากหรือเอาใจออกห่างไปหาสินค้าคู่แข่ง อย่างกรณีของ โทรศัพท์มือถือ ลูกค้ามักจะมีการสับเปลี่ยนผู้ให้บริการตลอดเวลา ทันทีที่เขารู้สึกว่าผู้ให้บริการไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา หรือ Call Center ให้บริการเขาไม่ดีพอ แต่ความพึงพอใจอย่างเดียวไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จหรือทำให้ลูกค้ามีความ จงรักภักดีได้ ความไม่หลากหลายของตัวสินค้า หรือการหาอะไหล่หรือบริการยาก ก็อาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นได้เช่นกัน ดูตัวอย่างของมือถือ ทำไม Nokia หรือ Motorola และ Siemens ระยะหลังจึงได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งๆที่ในอดีด Ericson ก็มาเป็นอันดับสองหรือหนึ่งด้วยซ้ำในบางประเทศ ทั้งนี้เป็นเพราะ Nokia มีคนใช้มาก ตลาดมือสองราคาไม่ตกมาก และตลาดมืดก็มีคนเอาเข้ามาขายกันมาก เช่นที่ มาบุญครองเป็นต้น ในส่วนของ Motorola นั้น ความสะดวกที่คนนิยมก็คือการแก้ไข EMEI ได้ง่าย ทำให้เครื่องเถื่อนมีคนนิยม แต่หลังๆ รุ่น V60, V66 หาอะไหล่เปลี่ยนยากขึ้น ผู้คนจึงหันไปใช้ Nokia และ Siemens แทน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคหรือลูกค้าที่มีต่อตราสินค้านั้นๆ ส่วนใหญ่มาจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ลักษณะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป หรือจากการนำเสนอในเงื่อนไขที่ดีกว่า ทั้งของบริษัทเราเองและหรือของคู่แข่ง ล้วนแล้วเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเอาใจตีจากทั้งนั้น การศึกษาและเข้าใจถึงตัวขับเคลื่อนของคู่แข่งต่อการดึงดูดลูกค้าเข้าไป ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรควรต้องนำไปพิจารณาด้วย

จากการเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ลูกค้าหนีจากเราไปหาคู่แข่งในรูป แบบแตกต่างกัน บวกกับความรู้ที่เรามีและข้อมูลของพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าเรา จะทำให้เราสามารถพัฒนาระดับของ Loyalty Profiles ที่จะนำไปผูกมัดใจลูกค้าในแต่ละระดับได้ มาดูตัวอย่างของการสร้าง Loyalty Program ของแต่ละค่ายบัตรเครดิต ทุกค่ายในขณะนี้ออกมาเหมือนกันเกือบหมด คือการสะสมคะแนน ไม่มีใครมีอะไรที่แปลกใหม่ ต่างก็แข่งกันในลักษณะของสินค้าใน Catalogue ที่นำมาล่อใจลูกค้า และที่สำคัญต่างก็แข่งกัน Offer การสะสมแต้มเพื่อแลก Mileage ของการบินไทยด้วย เพราะผู้ถือบัตรส่วนใหญ่ ต่างก็เป็นนักเดินทางทั้งนั้น ต่างก็อยากได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายเพื่อสะสมสำหรับการเดินทางฟรี ฉะนั้นแต่ละค่ายเท่าที่ผมสำรวจดู ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารกสิกรไทย ได้ออกรายการ TFB Loyalty Program เพื่อเพิ่ม Value ให้กับบัตรมากขึ้น โดยการให้เป็นคะแนนที่แลกเป็นบัตรสำหรับ Shopping ได้เลยแทนเงินสด ผมว่าอย่างนี้แหละที่เรียกว่า การนำเอาความคิดใหม่ๆมาประยุทธกับการศึกษาพฤติกรรมของผู้ถือบัตร และออกอะไรที่ผู้ถือบัตรเขาต้องการ บ่อยครั้งที่ผมเห็นการทำส่งเสริมการขาย นักการตลาดพยายามทำในสิ่งที่เขาคิดว่าผู้บริโภคต้องการ แต่ความจริงก็คือเขาเองแหละต้องการ ผลก็คือ Campaign นั้นๆ ก็ล้มเหลว

สาเหตุของการตีจากหรือย้ายความภักดีไปจากเรานั้น บางครั้งไม่ใช่เพราะเราไม่ดี หรือบริการบกพร่อง แต่เราต้องศึกษาให้เข้าใจว่าที่เขาไม่จงรักภักดีกับเรานั้น เป็นเพราะ Lifestyle เขาเปลี่ยนก็ได้ หรือเป็นเพราะเขาไม่ใช้สินค้าเราแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่ชอบสินค้าเรา อย่างเช่น กรณีของผ้าอนามัย เขาอาจเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีกับตรายี่ห้อของเรามาตลอด แต่ที่เขาเลิกใช้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเขาพ้นวัยที่จะมีประจำเดือน หรือหมดประจำเดือนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ แต่ละองค์กร การทำ CRM ก็จะต้องคำนึงถึงการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าและ Lifestyle ของเขาให้ลึก (Insight) ด้วย

เจตคติพื้นฐานของลูกค้า 3 ประการ

ในการศึกษาทัศนคติหรือเจตคติของลูกค้านั้น มีปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการที่นักการตลาดควรต้องเรียนรู้

1. อารมณ์ (Emotive)

ลูกค้าที่เป็น Emotive Customers เป็นลูกค้ากลุ่มที่มีความจงรักภักดีที่สุด ลูกค้ากลุ่มนี้จะคิดตลอดเวลาว่า การตัดสินใจซื้อสินค้ายี่ห้อที่เขาเลือกนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ฉลาดที่สุด ลูกค้ากลุ่มนี้ จะไม่มีวันลังเล หรือคิดทบทวนใหม่ต่อการตัดสินใจซื้อของเขาในแต่ละครั้ง และทุกครั้งที่เขาเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าหรือ Supermarket เขาจะเดินตรงไปยังชั้นที่เขาเคยหยิบ และไม่สนใจที่จะมองหาสินค้าใหม่ๆที่ออกมาทดแทนกันเลย ถึงแม้จะมีการสนับสนุนหรือส่งเสริมการขายอย่างไรก็ตามจากสินค้าคู่แข่ง ก็ไม่อาจทำให้เขาใจอ่อน ลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่นักการตลาดต้องทุ่มเงินมากมายมหาศาลในการ Convert พวกเขาให้หันมาใช้สินค้าใหม่แทน และก็เป็นกลุ่มลูกค้าที่ทุกองค์กรปรารถนาอย่างยิ่งที่อยากให้ลูกค้าของตน เป็นแบบนี้

2. ลูกค้าที่ดูเฉื่อย หรือพวก Inert (Inertial Customers)

ลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นเหมือนกลุ่ม Emotive กล่าวคือไม่ค่อยสนใจในการเปลี่ยนแปลงของสินค้าในตลาด เคยใช้อะไร ก็ใช้อย่างนั้นไปตลาด ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และเหตุผลของการไม่เปลี่ยนแปลงนั้นส่วนใหญ่มากจากการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ เกิดค่าใช้จ่ายสูง ทำให้เขาไม่อย่างเปลียน เพราะไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนไปแล้วจะดีขึ้นหรือไม่ สินค้าจำพวก Utilities เช่น พวกน้ำ ไฟ โทรศัพท์ หรือพวกประกันภัยต่างๆ เป็นตัวอย่างที่ดีของกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ การที่คุณไม่พอใจบริการขององค์การโทรศัพท์นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อคุณเปลี่ยนไปใช้ของ TA แล้วจะดีขึ้น หลายต่อหลายคนเริ่มรู้สึกเหมือนหนีเสือไปปะจรเข้ กล่าวคือ นึกว่า TA เป็นเอาชนต้องบริการดี แต่พอเอาเข้าไป กลับเจอการ Charge ยุบยิบเต็มไปหมด หรือ การที่คุณผิดหวังกับการบริการของประกันภัยแห่งหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคุณ จะได้รับการบริการที่ดีในอีกแห่งหนึ่ง การประกันชีวิต เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่เวลาตัวแทนจะมาเอาเงินคุณ เขาจะพูดจาหว่านล้อมทุกอย่างให้คุณเชื่อว่าเขาดี แต่พอคุณประกันกับเขาผ่านไปสัก 5-6 ปี เขาก็เริ่มไม่มาหาคุณ ไม่เคยโทรมาถามถ่ายทุกข์สุข หรือโทรมาเตือนเรื่องการจ่ายเบี้ยประจำปี จนบางครั้งทำให้คุณต้องขาดจากการประกันไปเลย เงินที่เคยจ่ายมาเป็น 10 ปีก็สูญไป เพื่อคุณทำผิดเงื่อนไขคือจ่ายไม่ตรงตามกำหนดเวลา ทำให้เวลาตายไป เขามีสิทธิอ้างที่จะปฏิเสธการจ่ายคุณ พวกบริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่ก็จะถูกตัวแทนที่รอบจัดทำเอาชื่อเสียงของ บริษัทเสียหายเลยก็มี บางแห่ง ตัวแทนไปรับปากอย่างโน้นอย่างนี้ พอตายเข้าลูกหลานไปขอเงินประกัน บริษัทไม่จ่าย ก็หาว่าบริษัทโกง ฉะนั้นคนกลุ่มนี้ ก็คือลูกค้ากลุ่มที่เราเรียกว่า เป็น พวก Inertial Customers

3. พวกตั้งใจเปลี่ยนแปลง (Deliberators)

ลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างใหญ่ที่สุดในทุกองค์กร คือประมาณ 40 % ของลูกค้าทั้งหมด การชักนำให้เขาเปลี่ยนใจมาใช้สินค้าหรือบริการของเรานั้น อาจต้องใช้เงินมากพอๆหรือมากกว่า 2 เท่าของที่ใช้กับ 2 กลุ่มข้างต้น พวก Deliberators คือพวกที่มักจะ reassure การซื้อของเขาในแต่ละครั้งเพื่อที่จะหาจุดคุ้มค่าที่สุด พวกนี้จะเปรียบเทียบราคากับคุณภาพ และประสิทธิภาพของสินค้าที่เขาซื้อทุกครั้งตลอดจนความสะดวกและความง่ายในการ ติดต่อหรือขอบริการจากบริษัทเจ้าของสินค้านั้นๆ พวกปั้มน้ำมัน และร้านค้าย่อยหรือร้านสะดวกซื้อจะเป็นตัวอย่างที่ดีของลูกค้ากลุ่มพวกนี้ กล่าวคือ ลูกค้ากลุ่มนี้จะเปรียบเทียบเวลาเขาเติมน้ำมันทุกว่าปั้มนั้นบริการดีไหม ราคาถูกกว่าที่อื่นหรือเปล่า หากแพงกว่า พวกนี้จะไม่รีรอในการ Switch ไปหาปั้มอื่นทันที อย่างเช่นในอดีด เราเคยได้ยิน ปั้ม JET ที่เริ่มทำสงครามราคา โดยการให้ราคาเบนซิน 95 ที่ถูกกว่าที่อื่น ผู้คนก็จะแห่กันไปเติมที่นั่น และหลังจากนั้น พอราคาเขาไม่ใช่ถูกสุด ผู้คนก็หนีจาก ลูกค้ากลุ่ม Deliberators จะเป็นกลุ่มแรกที่หนีจากไปก่อน หันไปเติมปั้มบางจากบ้าง ปั้ม MP บ้าง ซึ่งขณะนี้ ก็ดูเหมือนปั้ม MP จะได้เปรียบที่ราคามักถูกกว่าปั้มอื่นๆถึง 60-70 ส.ต. และพวกเรานักการตลาดต่างก็รู้ว่า น้ำมันไม่ว่ายี่ห้อไหน ก็มาจากโรงกลั่นแหล่งเดียวกัน อยู่ที่ Image ที่ให้มากกว่า ผมเองคนหนึ่งที่เติมน้ำมันปั้มที่ถูกกว่า เพราะราคาน้ำมันแพงขึ้นทุกวัน เงินเดือนก็เท่าเดิม ฉะนั้น ทุกคนก็อย่างได้ของประหยัด หรือลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะซื้อของกินร้านที่ไกล้บ้าน แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ จะยอมขับรถไปไกลกว่าหน่อยเพื่อซื้อหาของกินที่อร่อยกว่า และทุกครั้งที่กิน ก็จะ Re-evaluate ร้านเขาตลอดเวลา หากมีการบริการหรือราคาที่แพงขึ้น ก็จะตีจากได้เช่นกัน

กล่าวโดยสรุป บริษัทส่วนใหญ่มักจะมีความพยายามที่สำเร็จน้อยในการที่จะพบกับความสำเร็จใน การเปลี่ยนแปลงความต้องการของลูกค้า บรรดาธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ จึงต้องพยายามออกสินค้าใหม่ๆมาให้ลูกค้าตลอดเวลา เพื่อให้เข้ากับความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นในทุกขณะ อย่างเช่นโครงการเงินกู้เพื่อการท่องเที่ยว หรือพักผ่อน หรือสินค้าเกี่ยวกับการประกันชีวิต พร้อมการเก็บออมเป็นต้น



ที่มา : http://www.brandage.com/

ขั้นตอน 8 ขั้นสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจที่บ้าน

ต่อ ไปนี้ คือ ขั้นตอน 8 ขั้นที่ได้รับการพิสูจน์รับรองแล้วว่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับการเริ่มต้นทำ ธุรกิจของคุณและดำเนินธุรกิจจนถึงบรรลุความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 1 ทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณ ไม่ว่าคุณจะเลือกทำธุรกิจประเภทใดก็ตาม คุณจะต้องทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณให้มากกว่าที่คุณจะรู้จักผู้คนที่คุณ ให้บริการ ถ้าธุรกิจนั้นเป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณ คุณจะต้องเรียนรู้กับมันให้มากที่สุด เช่น ถ้าเป็นธุรกิจขายรถ คุณต้องรู้เกี่ยวกับสีของรถ การขัดเงา การเคลือบสี และ อะไหล่ต่าง ๆ และ คุณจะต้องพัฒนาทักษะการขายรถให้มีประสิทธิภาพ คุณจะรู้จักธุรกิจของคุณได้อย่างไร คุณต้องลงมือทำและเรียนรู้จักคู่แข่ง เข้าไปใช้บริการของคู่แข่งและอ่านโฆษณา แล้ววิธีการทำงานของคู่แข่งมาปรับปรุง ค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดเกี่ยวกับสมาพันธ์การค้าและจากนิตยสารต่าง ๆ อ่านและเรียนรู้จากมัน ยิ่งคุณรู้มากเท่าไหร่ บริษัทของคุณก็สามารถสร้างผลกำไรได้มากเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 2 ทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณ ธุรกิจจะประสบผลสำเร็จเมื่อคุณรู้ว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ บางทีคุณอาจเป็นลูกค้าเสียเอง และสิ่งที่คุณคาดหวังคืออะไร ถ้าคุณไม่ใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ คุณพอจะทราบไหมว่ายังมีใครอื่นอีกที่ขายสินค้าหรือบริการ ลูกค้าคาดหวังอะไร จงค้นหาให้พบว่าใครคือลูกค้าของคุณ ทำไม อย่างไร เมื่อไร เท่าไร และ ข้อเท็จจริงอื่นๆ ยิ่งคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ามากเท่าไหร่คุณก็จะขายสินค้าได้มากเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 3 ทำความรู้จักกับกฎหมายธุรกิจ กฎหมายธุรกิจที่ส่งเสริมการค้าที่ยุติธรรม และ ส่งเสริมสุขภาพชุมชน ติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลและศึกษาการทำธุรกิจของคุณต้องดำเนินการตามกฎหมาย ประเภทใด ในแต่ละประเทศจะมีกฎหมายบังคับใช้ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกิจแบบโฮมบิสิเนส ซึ่งลูกค้าจะต้องมาหาคุณที่บ้าน บางประเทศจะต้องให้ธุรกิจมีใบอนญาตประกอบการ เช่น ใบอนุญาตให้ประกอบการร้านขายอาหาร ซึ่งคุณจะต้องมีการเสียภาษีด้วย เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 4 ทำความรู้จักกับทรัพย์สิน คุณอาจจะต้องมีหลักทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจซึ่งบางที่มากกว่าที่คุณ คิดเอาไว้เสียอีก คือ นอกจากคุณจะต้องมีทักษะความรู้ความสามารถ สติปัญญา ประสบการณ์และเงินออมจำนวนหนึ่งแล้ว คุณจะต้องมีเวลาด้วย คุณจะต้องทำรายการทรัพย์สิน ตลอดจนถึงเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นธุรกิจงานเขียนเมื่อหลายปีมาแล้ว ทุก ๆ เช้าเราจะต้องทำงานเขียนก่อนออกไปทำงานตามปกติ และเวลาว่างตอนพักเที่ยงเราก็มีเวลาเขียนเอกสารได้ด้วยเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 5 การเพิ่มมูลค่าที่แท้จริง เมื่อคุณเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดแล้วก็ตาม คุณจะต้องเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงให้กับงานบริการของคุณ เช่น งานเลขานุการ คุณอาจจะมีบริการรับส่งเอกสารฟรี หรือ การเป็นคนดูแลสัตว์เลี้ยง คุณอาจใช้เวลาทุกวัน ๆ ละ 1 ชั่วโมงสำหรับการฝึกสัตว์ให้เชื่อฟัง หรือคนทำบัญชีก็อาจจะต้องเตรียมแบบฟอร์มการเสียภาษีให้แก่ลูกค้าที่มีการ เซ็นต์สัญญาจ้างงานเป็นรายปี จงทำให้มากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง และ ทำให้ดีกว่าคู่แข่ง และ ธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 6 รักษาลูกค้าที่ดีไว้ เพราะว่าลูกค้าบางคนนั้นคุณจะรู้สึกว่าค้าขายได้ง่ายกว่าลูกค้าบางคน ลูกค้าบางคนเอาใจยาก บางคนก็ลืมจ่ายเงินแก่คุณ เมื่อคุณมองเห็นแล้วว่าลูกค้าแบบไหนน่าจะสร้างกำไรในธุรกิจของคุณได้มากคุณ ก็จะต้องเก็บรักษาที่ดีนั้นไว้ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และคิดดูว่าคุณจะสามารถเสนอบิรการอะไรที่ดี ๆให้แก่ลูกค้าเหล่านั้น และดูว่ายังพอมีเพื่อน ๆ หรือ ญาติอีกบ้างไหมที่คุณจะเสนองขายงานบริการของคุณแก่พวกเขาได้ การรักษาลูกค้าที่ดี ๆ เอาไว้ก็ดีกว่าการเสียเวลากับลูกค้าที่ไม่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต

ขั้นตอนที่ 7 จัดการเงินอย่างชาญฉลาด เมื่อคุณมีรายได้เข้าร้าน บางทีคุณอาจจะลืมไปว่านั่นไม่ใช่เงินของคุณทั้งหมด แต่คุณจะต้องมีการแบ่งเงินบางส่วนไว้สำหรับค่าใช้จ่ายบางอย่างด้วย เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าวัสดุอุปกรณ์ และ ค่าภาษี สิ่งที่คุณสามารถเก็บเป็นของคุณได้คือ กำไรที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ยิ่งคุณสามารถจัดการด้านการเงินอย่างฉลาดคุณก็จะเหลือผลกำไรมาก เพราะว่าเงินโดยส่วนใหญ่มักจะหลุดมือไปจากคุณเพราะการถูกล่อลวงให้ต้องซื้อ โน่นซื้อนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์หรืออุปกรณ์พิเศษบางอย่าง เป็นไปได้ว่าคุณน่าจะได้จัดทำรายการสิ่งของที่จะต้องซื้อและลงวันที่ที่จะ ซื้อไว้ด้วย ควรจะจดบันทึกไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสัก 30 วันก่อนที่จะซื้อ ซึ่งจะทำให้คุณทราบว่าของที่คุณซื้อมานั้นใช้งานได้คุ้มค่าหรือไม่ ทำกำไรให้คุณได้มากน้อยเท่าไร

ขั้นตอนที่ 8 จงทำให้ดีกว่าเดิม การทำให้ดีนั้นเป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดเวลาน ดังนั้น คุณจะต้องทำให้ดีขึ้น ดีกว่าเดิม ดีกว่าคู่แข่งทางการค้าของคุณ ทำให้ดีกว่าเดือนที่แล้ว ปรับปรุงบริการของคุณ หาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ลูกค้า และ กฎหมาย อาจจะด้วยการลงทุนในทรัพย์สินมากขึ้น เพิ่มคุณค่างานบริการให้สูงขึ้น และ เก็บรักษาลูกค้าที่ดีๆ ไว้ และจะต้องจัดการด้านการเงินอย่างชาญฉลาดทุก ๆวัน

คำแนะนำ : ต้องยอบรับว่า ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับตัวคุณเป็นหลัก เรามีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลเท่านั้น การตัดสินใจได้เร็วและถูกต้องของคุณ จะทำให้คุณสามารถเริ่มต้นได้ก่อนใครและจะสามารถประสบความสำเร็จก่อนใคร

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ถึงเวลา...รื้อสุสานคอมพิวเตอร์

ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ราคาถูกมาก ซื้อหาง่าย ทำให้การใช้แล้วทิ้งมีปริมาณมากขึ้น จึงกลายเป็นปัญหา เพราะเมืองไทยยังไม่มีโรงงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์ ตามสถิติแล้วคอมพิวเตอร์จะมีอายุการใช้งาน 2-3 ปี หลังจากนั้นอุปกรณ์บางชิ้นจะใช้การไม่ได้ กลายเป็นขยะเพิ่มมลพิษให้โลกใบนี้

แม้อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ แต่บางชิ้นก็ยากต่อการกำจัด ถ้าจะกำจัดต้องผ่านโรงงานรีไซเคิลที่เป็นระบบ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เมืองไทยยังไม่มีโรงงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ปัญหาขยะคอมพิวเตอร์มีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในมุมหนึ่งก็มีการนำคอมพิวเตอร์ที่ใช้การไม่ได้กลับมาซ่อมแซม เพื่อนำไปบริจาคให้สถานศึกษาและจำหน่ายในราคาถูก รวมถึงดัดแปลงชิ้นส่วนนำไปใช้กับอุปกรณ์และเครื่องมืออิเลคทรอนิกส์บางชนิด แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันขยะคอมพิวเตอร์กำลังจะกลายเป็นสุสานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกระจัดกระจายอยู่ทุกหย่อมในสังคม ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงพิษภัยขยะคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยโลหะ หนัก เนื่องจากชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์บางชิ้นบางรุ่นไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ จึงกลายเป็นขยะพิษทิ้งขว้างตามที่ต่างๆ โดยปกติแล้วคอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบหลายชนิด อาทิ แผงวงจร แบตเตอรี่ หลอดรังสีแคโทดในจอภาพ หม้อแปลง และมีส่วนผสมของโลหะอันตรายทั้งตะกั่ว ปรอท นิกเกิลและแคดเมียม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม แม้จะมีการฝั่งกลบก็ย่อยสลายได้ยากขยะเสก 'โรค'

ปัญหาขยะคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ใหญ่เท่าเครื่องมืออิเลคทรอนิกส์พวกโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ แต่ขยะเหล่านี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม แม้กระทั่งประเทศในยุโรปยังออกมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำไปฝังกลบ เนื่องจากมีองค์ประกอบของวัสดุมีพิษ แต่ในหลายประเทศก็ยังมีการฝังกลบ

เมื่อ 10 ปีที่แล้วทางกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา ออกมายืนยันว่า ขยะอิเลคทรอนิกส์กว่า 4.6 ล้านตันถูกนำไปฝังกลบ และมีหลายประเทศไม่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างในฮ่องกง มีการนำคอมพิวเตอร์ประมาณร้อยละ 10-20 ไปทิ้งและนำไปฝังกลบ
ปริมาณขยะคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้บางแห่งกลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ สูญเสียพลังงานจำนวนมาก เนื่องจากการผลิตคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลพวกถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสารเคมีเป็น 10 เท่าของน้ำหนักเครื่อง

นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้มีการใช้วัสดุเคมีที่เป็นอันตรายต่อ โลกน้อยลง รวมถึงผู้บริโภคยื่นเงื่อนไขให้ผู้ผลิตรับผิดชอบในการกำจัดเครื่อง คอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ซึ่งมีรายงานว่า เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว แต่ละปีมีคอมพิวเตอร์ต้องกำจัดทิ้งประมาณ 30 ล้านเครื่อง

ในเมืองไทยแม้จะมีการนำคอมพิวเตอร์กลับมาซ่อมแซม เพื่อใช้ใหม่อีกครั้ง แต่ยังมีคอมพิวเตอร์อีกจำนวนมากใช้การไม่ได้ จนกลายเป็นสุสานขยะ กรณีดังกล่าว ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้ช่วยประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเคยศึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์กับการรีไซเคิล และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง กล่าวว่า ชิ้นส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์นำมารีไซเคิลได้เกือบหมด แต่เมืองไทยไม่มีโรงงานรีไซเคิล ทั้งๆ ที่ตลาดด้านนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะเป็นส่วนหนึ่งของขยะอิเลคทรอนิกส์ แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่ของเมืองไทย "ในสังคมไทยมีการเพิกเฉยต่อขยะที่กองเป็นภูเขา มีบางหมู่บ้านทำเรื่องแยกชิ้นส่วนขยะคอมพิวเตอร์และขยะอิเลคทรอนิก แต่แยกไม่ถูกวิธี ทั้งๆ ที่มีอุปกรณ์บางชิ้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่พวกเขาไม่รู้ จากที่เห็นการแยกชิ้นส่วน ถ้าชิ้นส่วนใดไม่มีประโยชน์ คนแยกก็จะกองทิ้งไว้ พอฝนตกก็ชะล้างสารพิษลงดิน นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพด้วย เรื่องนี้น่ากลัว พวกอุปกรณ์ไฟฟ้าตู้เย็น ทีวี มีปัญหามากกว่าชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ “ เธอพยายามเปรียบเทียบให้เห็นว่า ขยะต่างรูป ไม่ว่าแบตเตอรีโทรศัพท์มือถือ ถ่านไฟฉาย และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จะมีองค์ประกอบสารพิษต่างกัน และเรื่องนี้ยังไม่มีผู้ทำงานวิจัยออกมาเป็นรูปธรรม หากมองเฉพาะขยะคอมพิวเตอร์ที่ถูกทิ้งขว้างไม่ได้รับการเหลียวแล และกำลังเป็นปัญหาในเวลานี้และอนาคต เพราะมีส่วนประกอบหลายอย่างเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง อุปกรณ์ในคอมพิวเตอร์พวกหลอดรังสีแคโทด โลหะบัดกรีในแผงวงจร ซึ่งเป็นสารตะกั่ว หากสารพิษเหล่านี้สะสมในร่างกายมนุษย์ในปริมาณมาก ก็จะทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ไตและระบบสืบพันธุ์ และเมื่อสารพิษสะสมในบรรยากาศ ก็จะมีผลต่อดิน พืช สัตว์ และจุลชีพ ส่วนฟอสฟอรัสที่ใช้เคลือบผิวหน้าภายในหลอดรังสีแคโทด มีข้อมูลจากการทหารเรือ เตือนว่า สารชนิดนี้มีความเป็นพิษสูง มีผลต่อผิวหนังและระบบย่อยอาหาร หากได้รับปริมาณมาก อาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนแผงวงจรหลักมีสารพวกเบริลเลียม หากสัมผัสสารชนิดนี้จะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด นอกจากนี้สารแคดเมียมในแผงวงจร แบตเตอรี่ และหลอดรังสีแคโทดแบบเก่า ถ้าสะสมในร่างกายมากๆ จะทำให้ไตมีปัญหาและกระดูกผุกร่อน แยกชิ้นส่วน...รีไซเคิล ในต่างประเทศชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง หากมีการแยกส่วนตามประเภทวัสดุ จะมีทั้ง ซีพียู หลอดภาพ แผงวงจร อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ พลาสติกและโลหะ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ได้เกือบหมด

“การรีไซเคิลขยะคอมพิวเตอร์สามารถเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า การทำลายทิ้งและฝังกลบ เพราะคอมพิวเตอร์ใช้งานสองปี อุปกรณ์บางชิ้นก็หมดสภาพ วิธีการรีไซเคิลคอมฯ น่าจะง่ายกว่าการกำจัด แต่ไม่เกิดในสังคมไทย เพราะปัญหาหลายอย่าง เมืองไทยไม่มีระบบการเรียกเก็บคอมพิวเตอร์คืน ซึ่งในต่างประเทศมีระบบนี้ แต่ในสังคมไทยมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ มีการนำคอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาการใช้งาน กลับมาซ่อมแซมใช้ใหม่และแยกชิ้นส่วนไปใช้อย่างอื่น” ดร.ขวัญฤดี กล่าวและบอกว่า
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์มีโรงงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์แล้ว ถ้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ตัวไหนรีไซเคิลไม่ได้ พวกเขาก็จะส่งไปรีไซเคิลที่ประเทศเยอรมัน และโดยปกติโรงงานรีไซเคิลในฟิลิปปินส์จะรับขยะคอมพิวเตอร์จากโรงงานในสหรัฐ อเมริกามารีไซเคิล
ในช่วงที่เธอไปดูงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์ใน ฟิลิปปินส์ เธอบอกว่า ที่นั่นเป็นโกดังเล็กๆ ด้านหน้ามีแผนกซ่อมแซมคอมพิวเตอร์ประกอบใหม่ และมีแผนกรีไซเคิลอื่นๆ ทั้งฝ่ายถอดน็อค ถอดจอ และชิ้นส่วน ฯลฯ
“จริงๆ แล้วการทำโรงงานรีไซเคิลชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เรื่องยาก พวกชิปตัวเล็กๆ หรือชิ้นส่วนบางชนิดที่สกัดด้วยสารเคมีเป็นงานที่ยากในการรีไซเคิล ทางฟิลิปปินส์ก็จะส่งไปที่เยอรมัน ”ดร.ขวัญฤดี กล่าว และอธิบายต่อว่าในประเทศพัฒนาแล้วมีจำนวนคอมพิวเตอร์ที่ถูกทิ้งมากขึ้น เรื่อยๆ จึงต้องมีโรงงานรีไซเคิล เพื่อรับรองปัญหาส่วนนี้ ในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา หากคอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้แล้ว พวกเขาจะทิ้งแล้วซื้อเครื่องใหม่ ส่วนในเมืองไทยยังไม่มีโรงงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์ ครบวงจร มีเพียงโรงงานรีไซเคิลพลาสติก และโรงงานสกัดทองออกจากโลหะ
“เราไม่มีโรงงานรีไซเคิลจอภาพ เพราะสารพิษพวกฟอสฟอรัสเคลือบผิวหน้าภายในหลอดรังสีแคโทดจอภาพมีความเป็นพิษ สูงมาก สาเหตุที่ไม่มีโรงงานรีไซเคิลในเมืองไทย เพราะระบบการซื้อขายไม่เอื้อให้คนซื้อนำคอมพิวเตอร์ใช้การไม่ได้กลับคืนสู่ โรงงานรีไซเคิล แต่ในอนาคตต้องมีโรงงานรีไซเคิลคอมพิวเตอร์” มัดจำ ทำระบบซาเล้ง
ดร.ขวัญฤดี บอกอีกว่า ต้องมีระบบเรียกเก็บคอมพิวเตอร์ที่หมดอายุการใช้งาน สามารถทำเป็นระบบมัดจำ ถ้านำมาคืนจะได้รับเงินเพื่อนำกลับมาที่โรงงานรีไซเคิล

“ต้องเอาร้านเล็กๆ มารวมกันเพื่อทำเป็นโรงงาน และจัดระบบการจัดการที่ดี เพราะขยะคอมพิวเตอร์ ถ้าทิ้งไว้กลางแจ้ง เมื่อฝนตกชะล้างสารพิษลงดิน ย่อมมีผลต่อระบบนิเวศน์”
มาตรการที่เธอเสนอ ก็คือ ต้องนำกฏหมายมาใช้บังคับ เพื่อเรียกเก็บคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ที่ใช้การไม่ได้ และมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์

“เมืองไทยยังจัดการชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ได้ไม่ดี มีขยะคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้เป็นกอง เป็นอันตราย เพราะเราไม่วางระบบ ถ้าวางระบบเชื่อมโยงกับซาเล้ง โรงงานรีไซเคิลก็น่าจะเกิด“
เธอยกตัวอย่างกรณีหมู่บ้านกาฬสินธุ์ที่มีการแยกชิ้นส่วนอิเล คทรอนิกส์ ซึ่งมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รวมอยู่ด้วย และเคยมีพ่อค้าไปรับชิ้นส่วนจากนิคมอุตสาหกรรมมาแบ่งให้คนในหมู่บ้านแยกชิ้น ส่วน แต่กลายเป็นว่า งานแยกชิ้นส่วนขยะพวกนี้ทำให้คนป่วยจำนวนมาก แต่ไม่มีนักวิจัยคนใดศึกษาว่า คนแยกขยะป่วยเพราะอะไร มีเพียงข้อมูลยืนยันว่า ผู้ป่วยมีสารโลหะในกระแสเลือด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดร.ขวัญฤดีย้ำเสมอ ก็คือ การเรียกคืนคอมพิวเตอร์ใช้แล้ว โดยมีค่าธรรมเนียมเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนนำคอมพิวเตอร์มือสองกลับมารีไซเคิล
“เวลาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แก้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องแก้ทั้งระบบ เรื่องมลพิษต้องมองปัจจัยหลายเรื่อง ไม่ใช่สารพิษอย่างเดียว”
รีไซเคิล เงินทั้งนั้น

ส่วนประกอบในเครื่องคอมพิวเตอร์ หากมองหยาบๆ...ตัวเครื่องจะประกอบด้วยเหล็ก คีย์บอร์ดมีส่วนผสมของพลาสติก และพรินเตอร์มีทั้งพลาสติกและเหล็ก ทั้งหมดล้วนมีมูลค่าในการรีไซเคิล
นอกจากกระบวนการรีไซเคิลขยะคอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากมีความคิดสร้างสรรค์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลายอย่างนำมาดัดแปลงใช้ประโยชน์ได้อีก ยกตัวอย่างซีดีรอม สามารถนำกลับใช้เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าทำหุ่นยนต์บังคับ ,พัดลมระบายความร้อนในตัวเครื่อง นำมาทำพัดลมระบายความร้อนในรถยนต์ หรือใช้ในอุปกรณ์อื่นๆ ที่ชิ้นส่วนไม่ใหญ่มาก
พันเอกสิทธิโชค มุกเตียร์ ผู้อำนวยการกองสารสนเทศ กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม นักประดิษฐ์อีกคนที่รู้จักใช้ประโยชน์จากขยะคอมพิวเตอร์ เขาซื้อฮาร์ดดิสก์เก่าๆ ที่คนจำนวนมากไม่สนใจจากร้านซาเล้ง แล้วนำมารื้อ ถอด แยกชิ้นส่วนโลหะ เพื่อนำมาทำเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ให้เคลื่อนไหวกว่า 30 ชนิด อาทิ กระดิ่งไฟฟ้า ไมโครโฟน แขนกลเครื่องดนตรี และจานรับสัญญาณดาวเทียม ฯลฯ
"พวกฮาร์ดดิสก์เสียๆ ตัวละประมาณ 50-60 บาท ผมเอามาใช้ประโยชน์ได้เยอะ ฮาร์ดดิสก์ประกอบด้วยวงจรคอมพิวเตอร์ แขน ซึ่งมีปลายเข็มอ่านข้อมูลได้เร็วมาก และแม่เหล็ก บางตัวผมนำมาทำเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว ผมสอนให้เด็ก เยาวชนและคนรุ่นใหม่นำฮาร์ดดิสก์พวกนี้มาประกอบวัสดุสิ่งของให้เคลื่อนไหว ได้ บางชิ้นทำเป็นอุปกรณ์ในตุ๊กตาขยับแขนได้ ผมเห็นในเมืองนอก นำแผงวงจรในอุปกรณ์ขยะคอมพิวเตอร์มาทุบ เพื่อแยกส่วนผสมที่เป็นทองออกมา"

แม้กระทั่งแผ่นฮาร์ดดิสก์ด้านในที่มีความแวววาวเหมือนกระจก เขาสามารถดัดแปลงทำเป็นจานรับสัญญาณดาวเทียม ในส่วนนี้เขาบอกว่า ต้องใช้แผ่นฮาร์ดดิสก์กว่า 600 แผ่น และแผ่นฮาร์ดดิสก์เหล่านี้สามารถนำมาทำเครื่องต้มน้ำได้ด้วย
"มีคนบอกผมว่า ขยะมีค่าสำหรับเขา เพียงแต่อยู่ผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง" พันเอกสิทธิโชค ว่าไว้

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หญ้าแฝก

หญ้าแฝก มีลักษณะเด่นอยู่หลายประการที่ช่วยการฟื้นฟูทรัพยากรดิน และการรักษาสภาพแวดล้อม จากข้อมูลการวิจัยในด้านต่าง ๆ สรุปผลได้ว่า

ลักษณะเด่นของหญ้าแฝก

1. มีการแตกหน่อรวมเป็นกอ เบียดกันแน่น ไม่แผ่ขยายด้านข้าง
2. มีการแตกหน่อและใบใหม่ ไม่ต้องดูแลมาก
3. หญ้าแฝกมีข้อที่ลำต้นถี่ ขยายพันธุ์โดยใช้หน่อได้ตลอดปี
4. ส่วนใหญ่ไม่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ทำให้ควบคุมการแพร่ขยายได้
5. มีใบยาว ตัดและแตกใหม่ง่าย แข็งแรง และทนต่อการย่อยสลาย
6. ระบบรากยาว สานกันแน่น และช่วยอุ้มน้ำ
7. บริเวณรากเป็นที่อาศัยของจุลินทรีย์
8. ปรับตัวกับสภาพต่าง ๆ ได้ดี ทนทานต่อโรคพืชทั่วไป
9. ส่วนที่เจริญต่ำกว่าผิวดิน ช่วยให้อยู่รอดได้ดี

การฟื้นฟูทรัพยากรดิน การ ปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ทำการเกษตรส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการอนุรักษ์ดินและน้ำ ลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การช่วยเก็บกักตะกอนดินในพื้นที่ลาดชัน แต่จากผลของการศึกษาวิจัยพบว่า หญ้าแฝกยังมีลักษณะในด้านการฟื้นฟูทรัพยากรดินด้วย ซึ่งช่วยให้ดินมีศักยภาพในการให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่

1. การเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ
เนื่องจากระบบรากของหญ้าแฝกค่อนข้างมาก และหนาแน่น มีมวลชีวภาพสูง และเจริญแทรกลงไปในดิน ด้วยลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน เมื่อรากบางส่วนตายไป สำหรับส่วนของใบพบว่า หญ้าแฝกเจริญได้ค่อนข้างเร็ว มวลชีวภาพสูง ดังนั้นการตัดใบคลุมดิน จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน และยังช่วยเร่งการแตกหน่อของหญ้าแฝกด้วย

2. การเพิ่มปริมาณความชื้นในดิน
ในระบบที่มีการปลูกหญ้าแฝกจะพบว่า ดินเก็บความชื้นได้ยาวนานกว่า เนื่องจากส่วนของรากหญ้าแฝกที่ประสานกันเป็นร่างแห จะช่วยดูดยึดน้ำไว้ในดิน ซึ่งเห็นได้จากไม้ผล หรือพืชไร่ที่เจริญใกล้แถวหญ้าแฝก จะมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่าพืชที่ไม่ได้ปลูกใกล้หญ้าแฝก ปัจจัยหนึ่งคือ ระดับความชื้นในดินมีมาก และยาวนานกว่า

3. การเพิ่มอัตราการระบายน้ำและอากาศ
ระบบรากของหญ้าแฝกที่แพร่กระจาย มีส่วนช่วยให้ดินมีการระบายน้ำ และอากาศได้ดีมากขึ้นกว่าการไม่มีรากหญ้าแฝก

4. การเพิ่มกิจกรรมของจุลินทรีย์ดิน
บริเวณรากหญ้าแฝกพบว่า มีเชื้อจุลินทรีย์อยู่มากมายหลายชนิด ส่วนใหญ่มีผลดีต่อการเปลี่ยนแปลงธาตุอาหารพืชในดิน ช่วยดูดธาตุอาหารจากดิน และส่งเสริมให้เกิดกิจกรรของเชื้อจุลินทรีย์ในบริเวณราก ลักษณะดังกล่าวส่งผลดีต่อการเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืชในดิน

จากปัจจัยดังกล่าว การปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ดินเสื่อมโทรม หรือพื้นที่ดินมีปัญหา จึงมีส่วนช่วยฟื้นฟู และปรับปรุงดินมห้มีสภาพดีขึ้น เนื่องจากผลของอินทรียวัตถุที่เพิ่มขึ้น และกิจกรรมของเชื้อจุลินทรีย์บริเวณรากหญ้าแฝก รวมทั้งการมีความชื้นที่ยาวนานขึ้น สภาพดินจึงมีการพัฒนา และความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

การรักษาสภาพแวดล้อม
หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากหนาแน่นจำนวนมาก และเจริญในแนวลึกมากกว่าด้านข้าง ประกอบกับหญ้าแฝกเจริญเติบโตได้ในสภาพที่มีโลหะหนัก ลักษณะดังกล่าว จึงมีการนำหญ้าแฝกมาปลูกเพื่อใช้บำบัดน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท และดูดซับโลหะหนักจากดิน สำหรับวิธีการที่นำหญ้าแฝกไปปลูกเพื่อจุดประสงค์ในการรักษาสภาพแวดล้อม ได้แก่

1. การปลูกหญ้าแฝกรอบขอบบ่อบำบัดน้ำทิ้ง เพื่อให้หญ้าแฝกช่วยดูดโลหะหนักบางชนิด
2. การปลูกหญ้าแฝกในดินเพื่อดูดโลหะหนักจากดิน
3. การปลูกหญ้าแฝก แล้วให้น้ำทิ้งไหลผ่านในอัตราการไหลที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังมีนักวิจัยดำเนินการ เพื่อศึกษาวิจัยการนำหญ้าแฝกมาใช้ประโยชน์ในการรักษาสภาพแวดล้อม และบำบัดน้ำทิ้งในรูปแบบต่าง ๆ

http://www.ku.ac.th/e-magazine/aug49/agri/grass.htm

วิวัฒนาการขยะ

ขยะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์โดยตรง ยิ่งอัตราการขยายตัวของจำนวน ประชากรเพิ่มมากขึ้นมากเท่าไรปริมาณขยะก็จะยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น เท่านั้น และในปัจจุบัน ขยะได้เปลี่ยนรูปแบบไปมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมนั้น ขยะที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปมักจะเป็นเศษกระดาษ แก้ว พลาสติก หรือโฟม แต่ทุกวันนี้ ปัญหาขยะที่เกิดจากความเจริญทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูงในการกำจัด เพียงแค่การจัดการปัญหาขยะเดิมๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะจัดการให้หมดหรือลดลงไปได้
ชึ่งในปัจจุบัน เราอาจแยกขยะออกเป็น 4 ประเภท ตามความยากง่ายของการย่อยสลาย หรือการเน่าเปื่อย และความเป็นพิษได้ดังนี้

1. ขยะมูลฝอยที่ย่อยสลายได้
เป็นขยะมูลฝอยที่เป็นสารอินทรีย์ที่สามารถนำมาหมักเป็นปุ๋ยได้ เช่น เศษอาหาร เศษผัก เศษผลไม้ มูลสัตว์และซากสัตว์ เป็นต้น
2. ขยะมูลฝอยทั่วไป
เป็นขยะมูลฝอยที่เป็นสารอนินทรีย์ ซึ่งจะย่อยสลายไม่ได้ ไม่เป็นขยะมูลฝอยอันตราย แต่รีไซเคิลได้ยาก หรือไม่คุ้มค่าในการนำไปรีไซเคิล เช่น เศษวัสดุก่อสร้าง เถ้าฝุ่นละอองจากถนน และถุงพลาสติกในขนม เป็นต้น
3. ขยะมูลฝอยที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
หรือขยะมูลฝอยมีค่า หรือขยะมูลฝอยรีไซเคิลเป็นขยะมูลฝอยที่สามารถนำมาขายเพื่อส่งไปผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ เช่น เศษโลหะ ถุงพลาสติก กล่องกระดาษ กระดาษหนังสือพิมพ์ ขวดแก้ว ขวด กระป๋องโลหะ เป็นต้น
4. ขยะมูลฝอยอันตราย
เช่น ขยะมูลฝอยปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี สารเคมีทิ้งแล้ว ยาเสื่อมสภาพ ของมีคม ภาชนะที่มีแรงดันและขยะมูลฝอยติดเชื้อ เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทยนั้น วิกฤตปัญหาขยะได้ส่อเค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในช่วงปี 2544 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คาดว่ากากของเสียอันตรายได้เพิ่มมากขึ้นถึง 2.8 ล้านตัน โดยร้อยละ 73 หรือ 3 ใน 4 นั้นเกิดจากภาคอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือจะกระจายอยู่ตามพาณิชยกรรม สถานบริการ สถานพยาบาล ท่าเรือและกิจการเดินเรือ บ้านเรือนและภาคเกษตรกรรม โดยที่กากของเสียเหล่านี้ ได้รับการบำบัดและกำจัดได้เพียง 520,000 ตันต่อปี หรือร้อยละ 43 เท่านั้น และสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมเมือง ซึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมภายในครัวเรือนก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาขยะที่จากแหล่งชุมชน หรืออาคารบ้านเรือน ปัญหาขยะที่มาจากการทำความสะอาดทางเท้า หรือในที่สาธารณะ รวมไปถึงปัญหาขยะจากวัสดุอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี ที่ไม่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี โดยภาพสะท้อนของปัญหาเหล่านี้ได้สะสมมาเป็นเวลานาน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพทั้งทางกายและใจ ทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปัญหา

http://www.deqp.go.th/

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้ำส้มควันไม้

ประโยชน์ของน้ำส้มควันไม้

น้ำส้มควันไม้ คือน้ำที่เกิดจากการเผาถ่านในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่านเมื่อทำให้เย็นลงจนควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ของเหลวที่ได้นี้เรียกว่า น้ำส้มควันไม้ มีกลิ่นไหม้ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติกมีความเป็นกรดต่ำ มีสีน้ำตาลแกมแดง นำน้ำส้มควันไม้ที่ได้ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกประมาณ 3 เดือนในที่ร่ม ไม่สั่นสะเทือนเพื่อให้น้ำส้มควันไม้ที่ได้ตกตะกอนและแยกตัวเป็น 3 ชั้น คือ น้ำมันเบา (ลอยอยู่ผิวน้ำ) น้ำส้มไม้ และน้ำมันทาร์ (ตกตะกอนอยู่ด้านล่าง) แยกน้ำส้มควันไม้มาใช้ประโยชน์ต่อไป

ประโยชน์และการนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ประโยชน์

น้ำส้มควันไม้มีสารประกอบต่างๆ มากมาย เมื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรจะมีคุณสมบัติ เช่น เป็นสารปรับปรุงดิน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสารเร่งการเติบโตของพืช นอกจากนี้ มีการนำน้ำส้มควันไม้ ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่น ใช้ผลิตสารดับกลิ่นตัว ผลิตสารปรับผิวนุ่ม ใช้ผลิตยารักษาโรคผิวหนัง เป็นต้น

เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ดังนั้นก่อนที่จะนำไปใช้ควรจะนำมาเจือจางให้เกิดสภาวะที่เหมาะสม กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ดังนี้

1. อัตราส่วน 1: 20 (ผสมน้ำ 20 เท่า) พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดินซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน
2. อัตราส่วน 1: 50 (ผสมน้ำ 50 เท่า) พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืช หากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้รากพืชอาจได้รับอันตรายได้
3. อัตราส่วน 1: 100 (ผสมน้ำ 100 เท่า) ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา และโรคเน่า รวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่
4. อัตราส่วน 1: 200 (ผสมน้ำ 200 เท่า) พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดินรอบๆ ต้นพืชทุกๆ 7-15 วัน เพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา และรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
5. อัตราส่วน 1: 500 (ผสมน้ำ 500 เท่า) พ่นผลอ่อน หลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้ง ก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน เพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้
6. อัตราส่วน 1: 1,000 (ผสมน้ำ 1,000 เท่า) เป็นสารจับใบ เนื่องจากสารเคมีสามารถออกฤทธิ์ได้ดีในสารละลายที่เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเคมีทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีมากกว่าครึ่งด้วย

การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ด้านอื่นๆ

นอกจากการนำไปใช้ทางด้านเกษตรและปศุสัตว์แล้ว ยังสามารถนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ด้านอื่นๆ ได้อีก เช่น
1.ความเข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้รักษาแผลสด แผลถูกน้ำร้อน รักษาโรคน้ำกัดเท้าและเชื้อราที่ผิวหนัง
2.น้ำส้มควันไม้ผสมน้ำ 20 เท่า ราดทำลายปลวดและมด
3.น้ำส้มควันไม้ผสมน้ำ 50 เท่า ใช้ป้องกันปลวก มด และสัตว์ต่างๆ เช่น ตะขาบ แมงป่อง
4.น้ำส้มควันไม้ผสมน้ำ 100 เท่า ใช้ฉีดพ่นถังขยะเพื่อป้องกันกลิ่นและแมลงวัน ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ ห้องครัวและบริเวณชื้นแฉะ

ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มควันไม้

1.ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องทิ้งไว้จากการกักเก็บก่อนอย่างน้อย 3 เดือน
2.เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ควรระวังอย่าให้เข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
3.น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ยแต่เป็นตัวเร่งปฎิกิริยา ดังนั้นการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้กับพืชแต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้
4.การใช้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดิน ควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน
5.การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้
6.การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ เพื่อให้ดอกติดผล ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบาน หากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสร เพราะกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้และดอกจะร่วงง่าย

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แนวคิด 3R และ 5R

R : Reduce

คือ การลดการใช้ การบริโภคทรัพยากรที่ไม่จำเป็นลง ลองมาสำรวจกันว่า เราจะลดการบริโภคที่ไม่จำเป็นตรงไหนได้บ้าง โดยเฉพาะการลดการบริโภคทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และแร่ธาตุ ต่าง ๆ การลดการใช้นี้ ทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกใช้เท่าที่จำเป็น เช่น ปิดไฟทุกครั้งที่ไม่ใช้งานหรือเปิดเฉพาะจุดที่ใช้งาน ปิดคอมพิวเตอร์และเครื่องปรับอากาศ เมื่อไม่ใช้เป็นเวลานาน ๆ ถอดปลั๊กของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น กระติกน้ำร้อนออกเมื่อไม่ได้ใช้ เมื่อต้องการเดินทางใกล้ ๆ ก็ควรใช้วิธีเดิน ขี่จักรยาน หรือนั่งรถโดยสารแทนการขับรถไปเอง เป็นต้น เพียงเท่านี้เราก็สามารถเก็บทรัพยากรด้านพลังงานไว้ใช้ได้นานขึ้น ประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

R : Reuse

คือ การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด โดยการนำสิ่งของเครื่องใช้มาใช้ซ้ำ ซึ่งบางอย่างอาจใช้ซ้ำได้หลาย ๆ ครั้ง เช่น การนำชุดทำงานเก่าที่ยังอยู่ในสภาพดีมาใส่เล่นหรือใส่นอนอยู่บ้านหรือนำไปบริจาค แทนที่จะทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ การนำกระดาษรายงานที่เขียนแล้ว 1 หน้า มาใช้ในหน้าที่เหลือหรืออาจนำมาทำเป็นกระดาษโน๊ต ช่วยลดปริมาณการตัดต้นไม้ได้เป็นจำนวนมาก การนำขวดแก้วมาใส่น้ำรับประทานหรือนำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ต่างๆ เช่นแจกันดอกไม้หรือที่ใส่ดินสอ เป็นต้น นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงานพลังงานแล้วยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและยังได้ของน่ารักๆ จากการประดิษฐ์ไว้ใช้งานอีกด้วย

R : Recycle

คือ การนำหรือเลือกใช้ทรัพยากรที่สามารถนำกลับมารีไซเคิล หรือนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการลดการใช้ทรัพยากรในธรรมชาติจำพวกต้นไม้ แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ทราย เหล็ก อลูมิเนียม ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้ สามารถนำมารีไซเคิลได้ยกตัวอย่างเช่น เศษกระดาษสามารถนำไปรีไซเคิลกลับมาใช้เป็นกล่องหรือถุงกระดาษ การนำแก้วหรือพลาสติกมาหลอมใช้ใหม่เป็นขวด ภาชนะใส่ของ หรือเครื่องใช้อื่นๆ ฝากระป๋องน้ำอัดลมก็สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่หรือนำมาบริจาคเพื่อทำขาเทียมให้กับคนพิการได้

บางคนก็ใช้ 5R มี Repair และ Refill เพิ่มขึ้นมา ( ระวังอย่าเอา Regency มาผสมก็แล้วกัน )
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นอกจากรัฐบาล จะมุ่งเน้นในเรื่องของ การกำจัดขยะมูลฝอยทั่วไป รวมไปถึงขยะอันตรายจากอุตสาหกรรมแล้ว อีกทางหนึ่ง เราสามารถช่วยแบ่งเบาภาระอันนี้ได้เช่นกัน นอกเหนือไปจากการช่วยลดปริมาณขยะในแต่ละวันแล้ว

เราสามารถใช้วิธีการ 5R ดังนี้

1.Reduce การลดของที่จะทิ้งให้น้อยลง หรือลดการสร้างขยะ
2.Reuse ยืดอายุการใช้งาน หรือใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น โดยการใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆครั้ง
3.Recycle เป็นการนำขยะที่คงรูปย่อยสลายได้ยากเช่นแก้ว,กระดาษ,โลหะ,พลาสติก ไปผ่านกระบวนการผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่
4.Repair นำสิ่งของที่ยังพอแก้ไขได้มาซ่อมแซมให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้
5.Reject หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอันตราย เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำยาขัดพื้น หรือสารเคมีอื่นๆ เป็นต้น

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สารพัดวิธีกินน้ำมันให้ดีต่อสุขภาพ

น้ำมันสำหรับใช้ประกอบอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจัดอยู่ในหมวดของไขมัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้ำมันจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากคุณแม่และคนในครอบครัวไม่รู้วิธีใช้และกินน้ำมันเกินกว่าที่ร่างกาย ต้องการก็อาจก่อให้เกิดโรคตามมาได้หลายโรค ยิ่งปัจจุบันมีน้ำมันวางขายมากมายหลายชนิดหลายประเภท การเลือกซื้อเลือกใช้น้ำมันเพื่อบริโภค คุณแม่ก็ยิ่งจำเป็นจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดอย่างถี่ถ้วน

เลือก น้ำมันให้เหมาะกับการปรุง

น้ำมันมะกอก
Benefit:

* เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยว เช่น กรดโลเลอิก มากที่สุด ช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดี * มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง
* อุดมด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคผิวหนัง ลดรอยเหี่ยวย่นได้
* มีจุดเกิดควันต่ำ ไม่เหมาะกับการทอด เหมาะสำหรับการนำไปปรุงอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน ใช้เป็นน้ำมันสลัด แต่มีข้อจำกัดคือ มีราคาสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น

น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน
Benefit:

* มีกรดไลโนเลอิกสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ดี อีกทั้งมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง
* แต่มีข้อจำกัดคือ เมื่อถูกความร้อนจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย และเหมาะกับการนำมาปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนปานกลางอย่างการผัด

น้ำมันรำข้าว
Benefit:

* เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง คุณลักษณะคล้ายน้ำมันมะกอก แต่ราคาไม่แพง มีสารโอรีซานอลสูง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น
* มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ
* ช่วยลดระดับคอเลสโตรอลในเลือด ปรับสมดุลฮอร์โมนในสตรีวัยทอง

น้ำมันปาล์ม
Benefit:

* เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลางเช่นกัน
* เป็นแหล่งวิตามินอีชั้นดี
* สามารถทนความร้อนได้สูง ให้ความร้อนเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งเหมาะสำหรับการทอดมากที่สุด * มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง และมีกรดไลโนอิกต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ กินแล้วทำให้ครอเลสเตอรอลสูงได้

น้ำมันงา
Benefit:

* มีสารเซซามอลที่ช่วยชะลอความแก่ ลดความดันโลหิต และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว เส้นเลือดหัวใจตีบ
* มีส่วนช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้

10 เคล็ดลับการกินน้ำมันอย่างฉลาด

คุณแแม่คงพอจะทราบข้อมูลแล้วว่า น้ำมันแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อสุขภาพและเหมาะกับการปรุงอาหารประเภทใด แต่ลองมาดูเพิ่มเติ่มกันสิว่า เราจะมีเคล็ดลับการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารให้ปลอดภัยอย่างไรบ้าง
1. น้ำมันพืชที่ดีต้องไม่เป็นตะกอน ไม่มีกลิ่นหืน และควรมีสีเหลืองบ้าง ไม่ใสเกินไป จึงจะเป็นน้ำมันที่ไม่ผ่านการฟอกสีจนเบต้าแคโรทีนหายหมด
2. การทอดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและใช้น้ำมันปริมาณมาก เช่น ไก่ทอด ปลาทอด ควรใช้น้ำมันปาล์มโอเลอิน ที่สกัดกรดไขมันอิ่มตัวออกบางส่วนแล้ว หรือน้ำมันรำข้าว ซึ่งไม่กลายเป็นสารอนุมูลอิสระได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนจัดเหมือนน้ำมันเมล็ด ทานตะวัน ถั่วเหลือง
3.การทำอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน เช่นน้ำสลัด ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง และไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ 5-10 องศาเซลเซียส เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง
4. ในการผัดอาหารใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วเหลือง รำข้าว แต่ควรใส่ปริมาณน้อยที่สุด
5. ไม่ควรทอดอาหารที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ หรือเร่งไฟแรงให้เปลวไฟสัมผัสกับน้ำมันบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งและโรคหัวใจ
6. ทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป ช่วยให้ความร้อนของน้ำมันกระจายอย่างทั่วถึง และใช้เวลาในการทอดอาหารน้อยลง
7. เมื่อเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอด ควรเทน้ำมันเก่าออกให้หมด ไม่ควรเทน้ำมันใหม่ปนกับน้ำมันเก่า เพราะน้ำมันเก่าจะไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันใหม่
8. ถ้าจำเป็นต้องนำน้ำมันพืชกลับมาใช้ซ้ำ น้ำมันต้องไม่มีกลิ่นหืน เหนียวข้น หรือมีสีดำ ที่สำคัญต้องต้องไม่มีเศษอาหารและไม่ควรใช้ซ้ำเกิน 2 ครั้ง เพื่อป้องกันสารก่อมะเร็ง
9. ควรใช้น้ำมันหลากชนิดหมุนเวียนสลับกันไป เพราะน้ำมัน แต่ละชนิดมีข้อดี ข้อเสียต่างกันไป
10. เมื่ออดอาหารเสร็จแล้ว ใช้กระดาษซับน้ำมันรองอาหารไว้ จะช่วยลดน้ำมันจากอาหารไปได้บ้าง ต่อไปนี้คุณแม่อาจจะเลือกแล้วว่าจะเลือกใช้น้ำมันแบบไหนถึงจะทำให้อาหารอร่อย และปลอดภัยต่อสุขภาพ ห่างไกลจากตัวการร้าย ที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาสุขภาพในอนาคต

Tips รักษาน้ำมันให้คงคุณค่า

1. ควรปิดฝาน้ำมันหลังใช้แล้วให้สนิท เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นหืน
2. หลังใช้น้ำมันแล้วไม่ควรเก็บไว้ในภาชนะที่เป็นเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เพราะจะเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมัน
3. ควรเก็บน้ำมันไว้ในที่เย็นและไม่โดนแสงสว่าง เพื่อเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานน้ำมันให้ยาวขึ้น

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำมันพืช

- ทุกๆ น้ำหนัก 1 กรัมของน้ำมันพืชไม่ว่าชนิดใดให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรีเท่ากัน

- สีของน้ำมันไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณภาพ สีอ่อนหรือสีเข้มของน้ำมันมาจากสีของวัตถุดิบที่นำมาผลิต ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกคุณภาพหรือคุณประโยชน์ของน้ำมัน

- น้ำมันทุกชนิดประกอบด้วยกรดไขมันทั้ง 3 ชนิดเหมือนกัน คือกรดไขมันอิ่มตัว (SFA) กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (PUFA) แต่มีสัดส่วนที่ต่างกัน
ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภค ไขมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมัน MUFA สูง เพราะจะช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL-C) โดยไม่ไปลดคอเลสเตอรอลตัวดี (LDL-C) ในร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

- น้ำมันพืชทุกชนิดจะมีวิตามินอีเป็นพื้นฐาน แต่ละต่างกันไปตามชนิดของน้ำมัน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง 1 กิโลกรัม มีวิตามินอี 946 มิลลิกรัม น้ำมันมะกอก มีวิตามินอี 153 มิลลิกรัม น้ำมันทานตะวัน มีวิตามินอี 411 มิลลิกรัม เป็นต้น

- จุดเกิดควัน (Smock point) เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคทุกคนต้องรู้ เพราะเป็นตัวใช้วัดระดับการทนต่อความร้อนของน้ำมัน คือเมื่อเราให้ความร้อนแก่น้ำมัน ณ อุณหภูมิหนึ่งๆ จะทำให้น้ำมันเกิดควันและมีกลิ่นเหม็นไหม้ ทำให้รสชาติของสีและอาหารเปลี่ยรไป น้ำมันพืชโดยทั่วไปมีจุดเกิดควันที่ 227-237 องศาเซลเซียส

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของโรงพยาบาล กรุงเทพ และวิชาการ.คอม

น้ำมันมะพร้าว กับ การลดน้ำหนัก

น้ำมันมะพร้าว (coconut oil) คือน้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของต้นมะพร้าว (Cocos nucifera L.) ซึ่งเป็นพืชในตระกูลปาล์ม (Arecaceaeหรือ Palmae) ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวที่จำหน่ายในท้องตลาดและได้รับความสนใจในขณะนี้ คือ virgin coconut oil ซึ่งหมายถึงน้ำมันมะพร้าวที่ใช้วิธีการสกัดแยกจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี วิธีที่ใช้ในการเตรียม virgin coconut oil เช่น วิธีบีบเย็น เป็นต้น


องค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90%จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าวนั้นเป็นกรดไขมันที่มีขนาด โมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid) เช่น กรดลอริก(lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเผาผลาญได้ดี จึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมัน(adipose tissue)ได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (long chain fatty acid) เช่น กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

จากคุณสมบัติดังกล่าวของน้ำมันมะพร้าว ส่งผลให้น้ำมันมะพร้าวได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในการรับประทานเพื่อช่วยลด ความอ้วน จากรายงานการศึกษาทางคลินิก (randomised, double-blind, clinical trial) ในประเทศบราซิล (3)ทำการทดสอบเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวและกลุ่ม ที่รับประทานน้ำมันถั่วเหลืองในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนลงพุง (abdominal obesity) มีอายุระหว่าง 20-40 ปี (กลุ่มละ 20 คน) รับประทาน 30 มล.ต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ระหว่างการทดสอบผู้ทดสอบทุกคนจะได้รับอาหารพลังงานต่ำ (hypocaloric diet) และออกกำลังกาย 4 วัน/สัปดาห์ หลังสิ้นสุดการทดลองพบว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้น้ำหนักตัวและ body mass index (BMI) เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการทดลอง เมื่อดูผลการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันในเลือดพบว่า กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับคลอเลสเตอรอลรวมและ ไขมันตัวร้าย (LDL) แต่มีระดับไขมันตัวดี (HDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.03 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับน้ำมันถั่วเหลือง มีระดับคลอเลสเตอรอลรวมและไขมันตัวร้าย (LDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.45และ 23.48 ตามลำดับ และมีระดับไขมันตัวดี (HDL) ลดลงร้อยละ 12.62 เมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการทดลอง อย่างไรก็ตามระดับไตรกลีเซอไรด์ของทั้งสองกลุ่มไม่เปลี่ยนแปลง

แม้การศึกษานี้จะแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลต่อการลดลงของน้ำหนักตัวของกลุ่มทดลอง และไม่ทำให้ระดับไขมันที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (คลอเลสเตอรอลรวม ไขมันตัวร้าย(LDL) และไตรกลีเซอไรด์) เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มระดับไขมันตัวดี(HDL) ที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ทำการทดสอบในกลุ่มคนจำนวนน้อย และระยะเวลาที่ทดลองก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ (12 สัปดาห์) นอกจากนั้นการได้รับอาหารพลังงานต่ำและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ(4 วัน/สัปดาห์) ก็นับเป็นปัจจัยร่วมสำคัญที่อาจส่งเสริมให้ผลการทดลองเป็นไปในทางที่ดีจึง ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อดูผลของน้ำมันมะพร้าวต่อการลดน้ำหนักและการสะสมของระดับไขมันดังกล่าวในระยะยาว

ดังนั้นจากข้อมูลที่มีในขณะนี้จึงยังไม่เพียงพอที่จะสรุป ได้ว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลต่อการลดน้ำหนักหรือจะส่งผลดีต่อระดับไขมันที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และหากจะให้แนะนำถึงหนทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดในขณะนี้สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักก็คงจะหนีไม่พ้นการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิยาลัยมหิดล

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของโรงพยาบาล กรุงเทพ และวิชาการ.คอม

“ยูริก” ในร่างกายสูง เสี่ยงหูมีปัญหา

เคยได้ยินว่า “ยูริก” เกี่ยวพันกับโรคเกาต์ และมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่วันนี้ยูริกมีอันตรายต่อหู เป็นอย่างไร มาติดตามกัน

กรดยูริกในเลือดที่สูง นอกจากจะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคเกาต์ โรคนิ่ว และโรคไตอักเสบแล้ว อาจมีผลต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาหูอื้อ เสียงดังในหู และบ้านหมุนได้ โดยจะทำให้เส้นเลือดหดตัว เลือดไปเลี้ยงประสาทหู และอวัยวะทรงตัวได้น้อย จึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัวได้

กรดยูริกในร่างกายเกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายประมาณร้อยละ 80 และมาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ร้อยละ 20 โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนมากเกินไป ในผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ในเด็กและวัยรุ่นอาจต้องการโปรตีนมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อร่างกายย่อยโปรตีนใช้แล้วจะเกิดกรดยูริกขึ้น

หากบริโภคโปรตีนมากเกินไป กรดยูริกส่วนเกินจะเข้าสู่กล้ามเนื้อสะสม และตกตะกอน ทำให้ปวดเมื่อยเวลาเคลื่อนไหวถ้ากรดยูริกไปตกตะกอนที่ข้อต่อจะทำให้กลายเป็น โรคเกาต์ หรือหากไปรวมอยู่ในเส้นประสาทจะกลายเป็นโรคเส้นประสาทอักเสบ และเกิดอาการปวดตามเส้นประสาท นอกจากนี้โปรตีนที่มากเกินไปยังทำให้ไตทำงานหนักและอาจทำให้ไตพิการในผู้สูงอายุ

กรดยูริกนี้จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ประมาณร้อยละ 67 และทางอุจจาระประมาณร้อยละ 33 การที่มีกรดยูริกในเลือดสูง เกิดจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปริมาณที่ขับถ่าย นอกจากนี้ ยังเกิดจากกรรมพันธุ์ จากการขาดเอนไซม์บางตัว หรือเอนไซม์บางตัวทำงานมากเกินไป และสุดท้ายเกิดจากโรคบางชนิดที่สร้างกรดยูริกเกิน เช่น โรคมะเร็ง โรคเลือด รวมทั้งจากการดื่มสารที่มีแอลกอฮอล์ผสม เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ หรือรับประทานอาหารที่มีสาร “พิวรีน” สูง ซึ่งสารนี้จะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกในเลือด ทำให้มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติ

ดังนั้น ผู้ที่มีกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติ ควรระวังในเรื่องของอาหารที่รับประทาน ดังนี้
1.งดอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ตับอ่อน ไส้ ม้าม หัวใจ สมอง กึ๋น เซ่งจี๊ น้ำเกรวี กะปิ ยีสต์ ปลาดุก กุ้ง หอย ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา ชะอม กระถิน เห็ด ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ สัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ ห่าน รวมถึงน้ำสกัดเนื้อซุปก้อน
2.ลด อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น หมู วัว ปลาทุกชนิด ยกเว้น ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน และอาหารทะเล เช่น ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ถั่วลันเตา ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ หน่อไม้ฝรั่ง ดอกกะหล่ำ ผักโขม สะตอ ใบขี้เหล็ก กระถิน ข้าวโอ๊ต เบียร์ เหล้าชนิดต่างๆ เหล้าองุ่น ไวน์ ซึ่งทำให้การขับถ่ายกรดยูริกทางปัสสาวะลดลง ส่งผลให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
3.รับประทานอาหารเหล่านี้ได้ตามปกติ เนื่องจากมีพิวรีนน้อย ได้แก่ ข้าวชนิดต่างๆ ยกเว้น ข้าวโอ๊ต นอกจากนี้ ยังมีถั่วงอก คะน้า ผลไม้ชนิดต่างๆ ไข่ นมสด เนย และเนยเทียม ขนมปัง ขนมหวานหรือน้ำตาล ไขมันจากพืชและสัตว์

นอกจากอาหารแล้ว ควรดื่มน้ำมากๆ ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1-2 ลิตร เพื่อลดการคั่งของกรดยูริกในร่างกาย ถ้าอ้วนเกินไป ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ เพราะอาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์อย่างรวดเร็วและมีการสร้างกรดยูริก ทำให้เกิดปัญหาหูขึ้นได้ และสำหรับยาบางชนิดอาจมีผลต่อร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลง เช่น แอสไพรินหรือยาขับปัสสาวะไทอาไซด์ ฉะนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะใช้ยา

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของสสส. และ วิชาการดอทคอมhttp://www.thaihealth.or.th/

สงบจิตด้วยการนั่งสมาธิ

โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


ปฏิบัติทำไมมันถึงยากถึงลำบาก เพราะว่ามันอยาก พอไปนั่งสมาธิปุ๊บก็ตั้งใจว่าอยากจะให้มันสงบ ถ้าไม่มีความอยากให้สงบก็ไม่นั่งไม่ทำอะไร พอเราไปนั่งก็อยากให้มันสงบ เมื่ออยากให้มันสงบ ตัววุ่นวายก็เกิดขึ้นมาอีก ก็เห็นสิ่งที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นมาอีก มันก็ไม่สบายใจอีกแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่ายืนให้เป็นตัณหา อย่านั่งให้เป็นตัณหา อย่านอนให้เป็นตัณหา อย่าเดินให้เป็นตัณหา ทุกประการนั้นอย่าให้เป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยาก ถ้าไม่อยากจะทำอะไรเราก็ไม่ได้ทำ อันนั้นปัญญาของเราไม่ถึง ทีนี้มันก็เลยอู้เสีย ปฏิบัติไปไม่รู้จะทำอย่างไร พอไปนั่งสมาธิปุ๊บ ก็ตั้งความอยากไว้แล้ว

อย่างพวกเราที่มาปฏิบัติอยู่ในป่านี้ ทุกคนต้องอยากมาใช่ไหม นี่จึงได้มา อยากมาปฏิบัติที่นี้ มาปฏิบัตินี่ก็อยากให้มันสงบ อยากให้มันสงบก็เรียกว่าปฏิบัติเพราะความอยาก มาก็มาด้วยความอยาก ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยความอยาก เมื่อมาปฏิบัติแล้วมันจึงขวางกัน ถ้าไม่อยากก็ไม่ได้ทำ จึงเป็นอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไรกับมันล่ะ

๏ อย่าให้ตัณหาเข้าครอบงำในการปฏิบัติ
การกระทำความเพียรก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่า อย่าทำให้เป็นตัณหา อย่าพูดให้เป็นตัณหา อย่าฉันให้เป็นตัณหา ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทุกประการท่านไม่ให้เป็นตัณหา คือทำด้วยการปล่อยวาง เหมือนกับซื้อมะพร้าว ซื้อกล้วยมาจากตลาดนั่นแหละ เราไม่ได้เอาเปลือกมันมาทานหรอก แต่เวลานั้นยังไม่ถึงเวลาจะทิ้งมัน เราก็ถือมันไว้ก่อน การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

สมมุติวิมุติมันก็ต้องปนอยู่อย่างนั้น เหมือนกับมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือกทั้งกะลาทั้งเนื้อมัน เมื่อเราเอามาก็เอามาทั้งหมดนั่นแหละ เขาจะหาว่าเราทานเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขาปะไร เรารู้จักของเราอยู่เช่นนี้เป็นต้น อันความรู้ในใจของตัวเองอย่างนี้ เป็นปัญญาที่เราจะต้องตัดสินเอาเอง นี้เรียกว่าตัวปัญญา ดังนั้น การปฏิบัติเพื่อจะเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เอาเร็วและไม่เอาช้า ช้าก็ไม่ได้ เร็วก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรดี ไม่มีช้า ไม่มีเร็ว เร็วก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง ช้าก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง มันก็ไปในแบบเดียวกัน

๏ ตั้งใจทำสมาธิมากเกินไป ก็กลายเป็นความอยาก

แต่ว่าพวกเราทุกๆ คนมันร้อนเหมือนกันนะ มันร้อน พอทำปุ๊บก็อยากให้มันไปไวๆ ไม่อยากจะอยู่ช้า อยากจะไปหน้า การกำหนดตั้งใจหาสมาธินี้ บางคนตั้งใจเกินไป บางคนถึงกับอธิษฐานเลย จุดธุปปักลงไป กราบลงไป “ถ้าธูปดอกนี้ไม่หมด ข้าพเจ้าจะไม่ลุกจากที่นั่งเป็นอันขาด มันจะล้ม มันจะตาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน จะตายอยู่ที่นี้แหละ”

พออธิษฐานตั้งใจปุ๊บก็นั่ง มันก็เข้ามารุมเลย พญามาร นั่งแพล็บเดียวเท่านั้นแหละ ก็นึกว่าธูปมันคงจะหมดแล้วเลยลืมตาขึ้นมาดูสักหน่อย โอ้โฮ ยังเหลือเยอะ กัดฟันเข้าไปอีก มันร้อนมันรน มันวุ่นมันวาย ไม่รู้ว่าอะไรอีก เต็มทีแล้ว นึกว่ามันจะหมด ลืมตาดูอีก โอ้โฮ ยังไม่ถึงครึ่งเลย สองทอดสามทอดก็ไม่หมด เลยเลิกเสีย เลิกไม่ทำ นั่งคิดอาภัพอับจน แหม ตัวเองมันโง่เหลือเกิน มันอาภัพ มันอย่างโน้นอย่างนี้ นั่งเป็นทุกข์ว่าตัวเองเป็นคนไม่จริง คนอัปรีย์ คนจัญไร คนอะไรต่อมิอะไรวุ่นวาย ก็เลยเกิดเป็นนิวรณ์ นี่ก็เรียกว่าความพยาบาทเกิด ไม่พยาบาทคนอื่น ก็พยาบาทตัวเอง อันนี้ก็เพราะอะไร เพราะความอยาก

๏ ทำสมาธิด้วยการปล่อยวาง อย่าทำด้วยความอยาก

ความเป็นจริงนั้นนะ ไม่ต้องไปทำถึงขนาดนั้นหรอก ความตั้งใจนะคือตั้งใจในการปล่อยวาง ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัดอย่างนั้น อันนี้เราไปอ่านตำราเห็นประวัติพระพุทธเจ้าว่า ท่านนั่งลงที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านอธิษฐานจิตลงไปว่า “ไม่ตรัสรู้ตรงนี้จะไม่ลุกหนีเสียแล้ว แม้ว่าเลือดมันจะไหลออกมาอะไรก็ตามทีเถอะ”

ได้ยินคำนี้เพราะไปอ่านดู แหม เราก็จะเอาอย่างนั้นเหมือนกัน จะเอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกันนี่ ไม่รู้เรื่องว่ารถของเรามันเป็นรถเล็กๆ รถของท่านมันเป็นรถใหญ่ ท่านบรรทุกทีเดียวก็หมด เราเอารถเล็กไปบรรทุกทีเดียวมันจะหมดเมื่อไหร่ มันคนละอย่างกัน เพราะอะไรมันถึงเป็นอย่างนั้น มันเกินไป บางทีมันก็ต่ำเกินไป บางทีมันก็สูงเกินไป ที่พอดีๆ มันหายาก

๏ สมาธิและนิวรณ์ 5สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต ได้แก่ ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป ศาสนาพุทธเน้นในสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่ใช้ในทางแห่งการหลุดพ้น โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง ไม่ใช่การหวังผลสนองตัณหาความอยาก เช่น อวดฤทธิ์ อวดความสามารถ เป็นต้น

๏ สมาธิแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1. ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่ง เป็นสมาธิขั้นต้นที่บุคคลทั่วไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในการงานประจำวัน
2. อุปจารสมาธิ คือ สมาธิที่ตั้งได้นานหน่อย ใกล้ที่จะได้ฌาน เกิดนิมิตต่างๆ เช่น เห็นแสงสว่างอยู่ระยะหนึ่ง
3. อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแน่วแน่ถึงฌาน เป็นการทำสมาธิขั้นสูงสุด
สมาธิใช้สำหรับปราบกิเลสอย่างกลาง ที่จำเพาะเกิดขึ้นในใจคือ นิวรณ์ 5 เมื่อกายวาจาสงบเรียบร้อยแล้ว แต่บางทีจิตยังไม่สงบ คือยังมีความกำหนัด ความโกรธ ดีใจ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัว รำคาญ หรือสงสัย ลังเลอยู่ อาจล่วงถึงกายวาจาได้ เช่น สีหน้าผิดปกติ เมื่อกระทบอารมณ์รุนแรงเข้าก็ถึงออกปาก ด่าว่า ทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น

ศีลมีหน้าที่ตั้งจิต งดเว้นไม่ทำบาปด้วย กาย วาจา สมาธิมีหน้าที่รักษาจิต ให้สงบจากนิวรณ์ทั้งห้า มิให้เศร้าหมอง เพราะความกำหนัด ขัดเคือง ใจหดหู่ ฟุ้งซ่าน ตื่นเต้น กลัว รำคาญ และสงสัย ลังเล ในอารมณ์ ต่างๆ เหล่านั้น นิวรณ์ 5
๏ นิวรณ์ 5คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เป็นข้าศึกแก่สมาธิ มี 5 อย่างคือ
1. กามฉันท์ คือ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป หรือความพอใจในกาม
2. พยาบาท คือ การปองร้ายผู้อื่น
3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาหาวนอน จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
5. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย

นิวรณ์นั้นเป็นข้าศึกแก่สมาธิ เวลามีนิวรณ์ สมาธิก็ไม่มี เวลามีสมาธิ นิวรณ์ก็ไม่มี เหมือนมืดกับสว่าง เวลามืดสว่างไม่มี เวลาสว่างมืดก็หายไป จะนำมารวมกันไม่ได้

นิวรณ์เกิดจากสัญญา (ความจำได้หมายรู้) และจากสังขาร (ความปรุงแต่งทางจิตบางอย่างเข้ามายั่วยวนให้เกิดนิวรณ์) นิวรณ์เกิดขึ้นที่จิตเพียงแห่งเดียว แต่มีผลต่อแห่งอื่นๆ สาเหตุที่เกิดนิวรณ์ เช่น คนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น เมื่อตาเห็นรูป ก็จะเลือกดูแต่รูปที่ดี จะต้องคิดนึกถึงรูปปานกลาง และรูปเลวด้วย คือ ต้องนึกถึงไตรลักษณ์เป็นหลักพิจารณาอยู่เสมอ จะได้ไม่หลง

ถ้าจะให้จิตอยู่ในอารมณ์พระนิพพานอยู่เสมอ เมื่อเห็นอะไรก็ต้องพิจารณาให้เข้าสู่ไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลา แม้เกี่ยวกับการได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ฯลฯ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นพระไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน การเพ่งสมาธิวิปัสสนา ให้เพ่งพระพุทธรูป (พุทธานุสสติ), กายาคตาสติ อสุภะดีที่สุด เมื่อเพ่งจนเกิดสมาธิแล้วก็พิจารณาไปสู่พระไตรลักษณ์ หรืออีกวิธีคือ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ทั้งปวงอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติกันว่าเป็นสุข แต่พระอริยะเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นทุกข์ การยินดีในสุภนิมิต เช่นนี้เรียกว่า กามฉันท์

ผู้มีกามฉันท์นี้ควรเจริญกายาคตาสติ พิจารณาเห็นร่างกายให้เห็นเป็นปฏิกูล

พยาบาทเกิดขึ้นเพราะความคับแค้นใจ ผู้มีพยาบาทชอบโกรธเกลียดผู้อื่นอยู่เสมอๆ ควรเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา คิดให้เกิดความรัก เมตตาสงสารผู้อื่น

ผู้มีความเกียจคร้านท้อแท้อยู่ในใจ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน เรียกว่าถูกถีนมิทธะครอบงำ ควรเจริญอนุสสติกัมมัฎฐาน พิจารณาความดีของตนและผู้อื่น เพื่อจะได้มีความอุตสาหะทำงาน แก้ความท้อแท้ใจเสียได้

ความฟุ้งซ่าน รำคาญ เกิดจากการที่จิตไม่สงบ ควรเพ่งกสิณให้ใจผูกอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือเจริญกัมมัฏฐานให้ใจสังเวช เช่น มรณสติ

ความลังเลไม่ตกลงได้ เนื่องจากไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน ควรเจริญธาตุกัมมัฏฐาน เพื่อจะได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง

ธรรมทั้ง 5 ประการนี้เมื่อเกิดกับผู้ใด ย่อมจะเป็นธรรมอันกั้นจิตไม่ให้ผู้นั้นบรรลุความดีหรือสิ่งที่ตนประสงค์ได้ ฉะนั้น ผู้หวังความสำเร็จในชีวิตควรเว้นจากนิวรณ์ 5 ประการนี้

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของโรงพยาบาล กรุงเทพ และวิชาการ.คอม

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา

อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา
  • ผลแอปริคอท
    ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก
  • ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม
    เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
  • ถั่วสีน้ำตาลแดง
    ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา
  • ส้ม
    วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย
  • ถั่วชนิดต่างๆ
    อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น
  • ปลาแซลมอน
    เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วย
  • โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
    โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์
    จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8%

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของโรงพยาบาล กรุงเทพ และวิชาการ.คอม

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ธนาคารขยะ

ธนาคารขยะรีไซเคิล คือ รูปแบบหนึ่งในการดำเนินงานเพื่อส่งเสริม การคัดแยกขยะมูลฝอย โดยเริ่มต้นที่เยาวชนและชุมชนเป็นหลัก และใช้โรงเรียนหรือหมู่บ้าน บริษัท โรงงาน เป็นสถานที่ดำเนินการ เพื่อให้เยาวชนและชุมชน เกิดความเข้าใจในการคัดแยกขยะมูลฝอย หลักการของธนาคารขยะรีไซเคิล คือให้นักเรียนหรือพนักงานสมัครเป็นสมาชิกของธนาคารขยะฯ และนำขยะมาฝากที่ธนาคาร โดยมีเจ้าหน้าที่ของธนาคาร ทำการคัดแยกและชั่งน้ำหนักขยะ
และคำนวนเป็นเงิน แล้วบันทึกลงสมุดคู่ฝาก โดยใช้ราคาที่ทางโรงเรียนหรือคณะกรรมการชุมชน ประสานกับร้านรับซื้อของเก่า เป็นเกณฑ์ในการกำหนดราคา รายได้ของกิจกรรมมาจากผลต่าง ของราคาที่คณะทำงานของโรงเรียนกำหนด กับราคาที่สามารถขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งต้องมีการหักรายจ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ ติดต่อ ประสานงาน ซึ่งรายได้สามารถใช้เป็นทุนหมุนเวียน และจัดตั้งเป็นกองทุน เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาหรือรายได้ชุมชน


วัตถุประสงค์
- เพื่อให้เยาวชนมีจิตสำนึกในการคัดแยกขยะ และรักษาสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนและชุมชน
- เป็นการช่วยลดปริมาณขยะ และส่งเสริมความรู้ให้แก่เยาวชนในเรื่องการคัดแยกขยะ ที่ถูกต้องและเหมาะสม
- เพื่อนำผลพลอยได้จากการตั้งธนาคารขยะ มาตั้งกองทุนสนับสนุนการศึกษาของเยาวชน
- เพื่อเป็นการสร้างรูปแบบการจัดการขยะ โดยเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการดำเนินงาน

อุปกรณ์
- เครื่องชั่ง
- สถานที่เก็บรวบรวมวัสดุรีไซเคิล
- สมุดคู่ฝากและเอกสารบัญชี

เราจะทำการแยกขยะอย่างง่าย

“การรีไซเคิลพลาสติก”
ในการรีไซเคิลพลาสติกนั้น พลาสติกจะถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิดด้วยกัน สามารถสังเกตได้จากสัญลักษณ์ตัวเลขที่อยู่ด้านข้างหรือก้นภาชนะพลาสติก ดังนี้ครับ
พลาสติกเบอร์ 1 หรือที่เรียกว่าขวดเพท (PET) ตัวอย่างเช่น ขวดน้ำอัดลม และขวดน้ำมันพืช
พลาสติกเบอร์ 2 โพลีเอทธีลีนชนิดความหนาแน่นสูง ตัวอย่างเช่น ขวดน้ำขุ่น ขวดโลชั่น และขวดแชมพู
พลาสติกเบอร์ 3 PVC ตัวอย่างเช่น ท่อพีวีซี สายยาง และสายไฟ
พลาสติกเบอร์ 4 โพลีเอทธีลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ ตัวอย่างเช่น ถุงเย็น แผ่นฟิล์มพลาสติก และขวดชนิดบาง
พลาสติกเบอร์ 5 โพลีโพรไพลีน ตัวอย่างเช่น ถุงร้อน เชือกพลาสติก ถังน้ำ และหลอดกาแฟ
พลาสติกเบอร์ 6 โพลีสไตรีน ตัวอย่างเช่น โฟม กล่องซีดี ไม้บรรทัด และถ้วยไอศกรีม
พลาสติกเบอร์ 7 ชนิดอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ขวดนมเด็ก ขวดน้ำเกลือ และด้ามจับกระทะ เป็นต้น
พลาสติกที่ได้รับความนิยมในการคัดแยกเพื่อการรีไซเคิล มักเป็นพลาสติกที่มีปริมาณการใช้สูง สามารถหาได้ง่าย สะดวกในการเก็บรวบรวม คัดแยก ทำความสะอาด เช่น ขวดน้ำดื่มชนิดขาวขุ่นและชนิดใส และขวดยาสระผมครับ

“การรีไซเคิลกระดาษ”
ในการรีไซเคิลกระดาษนั้น สามารถทำได้สูงสุด 4-6 ครั้งเท่านั้น เมื่อผ่านกระบวนการรีไซเคิล เยื่อกระดาษจะสั้นลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในการผลิตกระดาษทางโรงงานรีไซเคิลต้องเติมเยื่อใหม่ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดาษรีไซเคิลที่ผลิตออกมา ในการรับซื้อกระดาษของร้านรับซื้อเพื่อนำไปรีไซเคิลนั้น จะแบ่งกระดาษออกเป็นประเภท ๆ ได้แก่ กระดาษปอนด์ขาว-ดำ กระดาษแข็งสีน้ำตาล กระดาษหนังสือเล่ม กระดาษสมุด กระดาษหนังสือพิมพ์และกระดาษคอมพิวเตอร์ กระดาษแต่ละประเภทจะมีราคาซื้อ-ขายไม่เท่ากัน ขึ้นกับชนิดและคุณภาพ กระดาษคอมพิวเตอร์ กระดาษขาวดำและกระดาษสมุด จะมีราคาแพง รองลงมา ได้แก่ กระดาษกล่องสีน้ำตาล กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษบางประเภทร้านรับซื้อของเก่าจะไม่รับซื้อ เช่น กระดาษที่เคลือบด้วยพลาสติก กระดาษห่อของขวัญ กระดาษเคลือบไข เป็นต้น ว่ากันว่าการผลิตกระดาษ 1 ตันต้องตัดต้นไม้ถึง 17 ต้น และใช้พลังงานในการผลิตถึง 4,100 กิโลวัตต์ ซึ่งพอเพียงต่อการใช้กระแสไฟฟ้าในบ้านขนาดกลางถึง 6 เดือนเลยที่เดียวครับ

“การรีไซเคิลโลหะ”

โฆษกชาย : ในการคัดแยกโลหะเก่าเพื่อรีไซเคิลนั้น แยกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เหล็กและโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ซึ่งซาเล้งหรือร้านรับซื้อของเก่า จะใช้แม่เหล็กในการคัดแยก ในการคัดแยกเหล็กเพื่อขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า สามารถแยกเป็น เหล็กเหนียว เหล็กหล่อ เหล็กรูปพรรณ และเศษเหล็กอื่น ๆ เหล็กที่ขายได้ราคาดี ได้แก่ เหล็กหล่อที่มีขนาดเล็กและหนาราคากิโลกกรัมละ 9 บาท 60 สตางค์ รองลงมา ได้แก่ เหล็กเส้นราคากิโลกกรัมละ 9 บาท สำหรับโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก เช่น อะลูมิเนียม ทองแดงและทองเหลือง ถือว่าเป็นโลหะที่มีค่า ทองแดง จัดเป็นโลหะที่มีราคาสูงที่สุดโดยทองแดงเส้นราคากิโลกกรัมละ 200 บาทขึ้นไป รองลงมาคือทองเหลือง ราคากิโลกกรัมละ 100 – 120 บาท ส่วนอะลูมิเนียมมีราคาตั้งแต่ 10 กว่าบาทจนถึง 80 บาท อะลูมิเนียมที่มีราคาสูงที่สุด คือ อะลูมิเนียมเส้น ราคากิโลกกรัมละ 78 บาท รองลงมาอะลูมิเนียมฉากขอบใหม่ราคากิโลกกรัมละ 66 บาท ส่วนกระป๋องน้ำอัดลมราคากิโลกกรัมละ 50 บาทครับ

“การรีไซเคิลแก้ว”

โฆษกชาย : บรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดหรือโหลแก้ว สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% โดยคุณสมบัติไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าขวดหรือโหลแก้วนั้นจะถูกรีไซเคิลมากี่ครั้งแล้วก็ตาม การรีไซเคิลแก้ว ใช้เชื้อเพลิงในการหลอมแก้วน้อยกว่าการผลิตแก้วจากวัตถุดิบโดยตรง การรีไซเคิลขวดแก้ว 1 ใบสามารถประหยัดพลังงานเพียงพอที่จะให้ความสว่างกับหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ได้ถึง 4 ชั่วโมง หรือประหยัดไฟฟ้าเท่ากับการชมโทรทัศน์ 1 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว ผลิตภัณฑ์แก้วบางชนิดไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ เนื่องจากมีการเติมสารบางอย่างลงไปในกระบวนการผลิตเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ เช่น แก้วเจียรนัย จะมีสารจำพวกตะกั่วออกไซด์ปนอยู่ ซึ่งจะทำให้การหักเหของแสงในแก้วชนิดนี้ มีมากกว่าแก้วชนิดอื่น แก้วจึงมีความแวววาวสวยงาม นอกจากนี้หลอดไฟและกระจกเงา ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เนื่องจากมีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น สารฟลูออเรสเซ้นท์ และปรอทเคลือบอยู่ ในการรีไซเคิลแก้วนั้น ต้องแยกแก้วสีชา และแก้วสีเขียวออกจากแก้วใสครับ